หลายบริษัทมักจะมีกฎระเบียบในการทำงานที่เกี่ยวกับการทำงานในเรื่องของการลงเวลามาทำงานเอาไว้ว่า
“ห้ามพนักงานลงเวลาทำงานแทนกัน
ถ้าหากฝ่าฝืนจะถือว่าทุจริตและบริษัทจะพิจารณาเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง”
โดยพนักงานจะต้องลงเวลามาทำงานทุกครั้งที่เข้าและออกจากสถานที่ทำงาน
อยู่มาวันหนึ่งชวนพิศต้องออกไปติดต่อลูกค้าในช่วงบ่ายซึ่งชวนพิศก็รู้ดีว่ากว่าจะไปถึงบริษัทลูกค้า กว่าจะพูดคุยกับลูกค้าเสร็จก็คงเย็นหรือค่ำ
แล้วถ้าต้องฝ่าการจราจรเพื่อกลับมารูดบัตรลงเวลาออกจากบริษัทคงไม่ทันเป็นแน่
ก็เลยฝากบัตรพนักงานไว้กับชิดชมเพื่อนซี้ในแผนกเดียวกันให้ช่วยรูดบัตรในช่วงเย็นให้ด้วย
ตกเย็นชิดชมก็ไปรูดบัตรออกจากบริษัททั้งของตัวเองและของชวนพิศ
ปรากฏว่ารปภ.เห็นเข้าว่าชิดชมรูดบัตรสองใบก็เลยแจ้งไปที่ฝ่ายบุคคล
วันรุ่งขึ้นฝ่ายบุคคลก็แจ้งมาที่หัวหน้างานของชวนพิศและชิดชมว่าทั้งสองคนทำผิดกฎระเบียบของบริษัทโดยรูดบัตรแทนกันถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
ดังนั้นบริษัทจะต้องเลิกจ้างทั้งสองคนโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น
หัวหน้าของชวนพิศและชิดชมก็เรียกลูกน้องมาสอบถามว่าเรื่องราวเป็นยังไง
ทั้งสองคนก็ให้การมาตามที่ผมเล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะครับ
และเมื่อหัวหน้างานโทรไปหาลูกค้าทางลูกค้าก็ยืนยันว่าชวนพิศไปพบในเรื่องงานของบริษัทจริงกว่าจะประชุมเลิกก็หกโมงเย็นแล้ว
อีกทั้งชวนพิศและชิดชมก็บอกว่าเธอไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินทองหรือมีการจ้างวานให้รูดบัตรอะไรนี่นา
แต่ยอมรับว่ารูดบัตรแทนกันจริงเพราะชวนพิศไม่อยากจะฝ่ารถติดเพื่อเข้ามารูดบัตรตอนค่ำที่บริษัท
ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ..ตกลงว่าการรูดบัตรแทนกันแบบนี้ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเพราะเข้าข่ายทุจริตหรือไม่
?
เรื่องทำนองนี้เคยต้องไปถึงศาลแรงงานมาแล้วนะครับ
ผมขอนำคำพิพากษาศาลฎีกามาให้ท่านดูตามนี้
ฎ.3095/2537 “การตอกบัตรแทนกันช่วงเลิกงานไม่ได้ค่าจ้างเพิ่ม
นายจ้างไม่เสียหายแต่เป็นการผิดข้อบังคับการทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง..”
จากกรณีข้างต้นเมื่อดูจากข้อเท็จจริงแล้วพนักงานทั้งสองคนมีความผิดในเรื่องรูดบัตรแทนกันจริง
แต่ความผิดนี้ “ไม่ร้ายแรง” เพราะไม่ได้เป็นการทุจริตนะครับ
ดังนั้น ในกรณีนี้ข้อแนะนำก็คือบริษัทควรออกหนังสือตักเตือนพนักงานทั้งสองคนว่าห้ามรูดบัตรลงเวลาแทนกันอีก
ถ้าลงเวลาแทนกันอีกบริษัทจะลงโทษยังไงต่อไปเช่นจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะบริษัทได้เคยตักเตือนในเรื่องนี้ไว้แล้วเป็นต้น
แต่การที่บริษัทจะเลิกจ้างทันทีในครั้งนี้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยนั้น
ถ้าทั้งสองคนนี้ไปฟ้องศาลแรงงานบริษัทก็เตรียมค่าชดเชยตามอายุงานเอาไว้จ่ายพนักงานทั้งสองคนด้วยก็แล้วกันนะครับ
แล้วแบบไหนล่ะที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่พนักงานลงเวลาแทนกัน ?
ก็เช่น..บริษัทให้ชวนพิศทำงานล่วงเวลาตั้งแต่
17.00-22.00 น.แต่พอถึงเวลาทำโอทีชวนพิศกลับแว๊บไปดูหนังกับแฟนแล้วฝากบัตรให้ชิดชมช่วยรูดบัตรแทนให้ด้วย
แล้วเอาค่าโอทีมาแบ่งกัน
อย่างนี้แหละครับเข้าข่ายทุจริตเพราะรับเงินค่าโอทีของบริษัทไปแล้วแต่ไม่ได้ทำงานให้บริษัทจริง
แถมยังเอาเงินค่าโอทีมาติดสินบนเพื่อนให้รูดบัตรกลับบ้านแทนเสียอีก
พฤติการณ์แบบนี้แหละครับถึงจะเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ และบริษัทสามารถเลิกจ้างทั้งสองคนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน
ประเด็นหลักที่สำคัญในเรื่องนี้ก็คือ..ให้ดูที่ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และข้อเท็จจริงนั้นเข้าข่ายทุจริตเป็นความผิดร้ายแรงจริงหรือไม่
ถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าท่านคงเข้าใจความผิดที่เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ดีขึ้นแล้วนะครับ
…………………………………..