วันนี้ผมมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังกับท่านผู้อ่านอีกแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่คนทำงานไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ผู้บริหารไปจนถึงเจ้าของกิจการยังมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันอยู่และอาจจะมีการปฏิบัติแบบไม่ถูกต้องนัก
ผมก็เลยขอนำมาแลกเปลี่ยนความรู้กันในตอนนี้คือตอนที่ตั้งคำถามว่า “ค่าจ้าง” คืออะไร
ทุกบริษัทต่างก็จะมีการจ่าย
“เงินเดือน” ให้กับพนักงานกันทุกเดือนอยู่แล้วใช่ไหมครับ
แต่ก็ยังมีบริษัทอีกไม่น้อยที่จะมีการจ่ายเงินอื่นให้กับพนักงานที่นอกเหนือจากเงินเดือน
เช่น ค่าตำแหน่ง, ค่าครองชีพ, ค่าภาษา (ต่างประเทศ), ค่าวิชา
(กรณีใช้วิชาชีพเฉพาะทางเช่น ด้านที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์), ฯลฯ
ซึ่งการจ่ายเงินประเภทต่าง
ๆ นี่แหละครับที่จะทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติในหลายบริษัท ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท
YYY
จำกัด ทำสัญญาจ้างคุณชวนชัยเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ
โดยมีเงินเดือน ๆ ละ 50,000 บาท ค่าตำแหน่ง 5,000 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท และค่าภาษาจีน
(เนื่องจากต้องใช้ภาษาจีนในการติดต่อกับลูกค้าจีน) เดือนละ 3,000 บาท
สำหรับค่าตำแหน่งนั้น
บริษัทจะมีหลักเกณฑ์ในการจ่ายคือหากเป็นผู้จัดการฝ่ายจะได้ค่าตำแหน่งเดือนละ 5,000 บาท ผู้จัดการแผนกจะได้ค่าตำแหน่งเดือนละ 3,000 บาท
หัวหน้าแผนกจะได้ค่าตำแหน่งเดือนละ 2,000 บาท
ส่วนค่าภาษาต่างประเทศนั้น
บริษัทจะจ่ายให้ในกรณีที่พนักงานที่ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ
จำเป็นต้องใช้ภาษาต่างประเทศในการติดต่อธุรกิจของบริษัทเท่านั้นเช่นกรณีของคุณชวนชัย
ถ้าตำแหน่งใดไม่ได้ใช้ภาษาต่างประเทศทำงานที่ตรงกับความต้องการของบริษัท
ก็จะไม่ได้รับค่าตำแหน่ง
สำหรับค่าครองชีพนั้นบริษัทจ่ายให้พนักงานทุกคนเท่ากันทั้งบริษัทเดือนละ
2,000
บาท ซึ่งจ่ายอย่างนี้มา 5 ปีแล้ว
ซึ่งค่าครองชีพดังกล่าวก็ไม่ได้มีการปรับปรุงให้เป็นไปตามสภาพทางเศรษฐกิจหรือตามภาวะการครองชีพใด
ๆ
ดังนั้นสรุปแล้วคุณชวนชัยก็จะมีรายได้ต่อเดือนเป็นดังนี้
เงินเดือน = 50,000 บาท ค่าตำแหน่ง = 5,000 บาท ค่าครองชีพ =
2,000 บาท ค่าภาษา = 3,000 บาท
ปัญหาเกิดขึ้นก็ตอนที่คุณชวนชัยทำงานกับบริษัทมาปีเศษ
ๆ บริษัทก็แจ้งว่าจะเลิกจ้างคุณชวนชัยเพราะไม่สามารถหาลูกค้าต่างชาติได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้
และบริษัทจะจ่ายค่าชดเชยในการเลิกจ้างให้ตามกฎหมายแรงงาน (ตามมาตรา 118) คือทำงานมา 1ปีไม่เกิน 3 ปี
จะได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า “ค่าจ้าง” อัตราสุดท้าย 90 วัน
หรือพูดง่าย ๆ ภาษาคนทำงานว่าคุณชวนชัยจะได้ค่าชดเชย 3 เดือนนั่นแหละครับ
ปัญหามาเกิดขึ้นก็ตรงที่บริษัทบอกว่า
“ค่าจ้าง” สุดท้ายของคุณชวนชัยคือ 50,000 บาท
(คือบริษัทหมายถึงเพียงแค่เงินเดือนตัวเดียว) จึงจะจ่ายค่าชดเชยให้คุณชวนชัย 150,000
บาท ?
แต่คุณชวนชัยบอกว่าบริษัททำไม่ถูกต้อง
เพราะฐาน “ค่าจ้าง” ของเขาจะต้องรวมค่าตำแหน่ง, ค่าครองชีพ และค่าภาษา
เข้าไปในเงินเดือนด้วย นั่นก็คือบริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เขา 180,000 บาทถึงจะถูกต้อง (คุณชวนชัยบอกว่า “ค่าจ้าง” ของเขาคือ เงินเดือน+ค่าตำแหน่ง+ค่าครองชีพ+ค่าภาษา
นั่นเองครับ)
ตกลงกรณีนี้ใครจะบอกได้ว่า “ค่าจ้าง”
ของคุณชวนชัยคือเท่าไหร่กันแน่ล่ะครับ ?
ตรงนี้แหละครับผมอยากจะนำท่านมารู้จักกับคำว่า “ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5
ของกฎหมายแรงงานดังนี้นะครับ
มาตรา 5 .... “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน
แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
ผมอยากจะให้ท่านดูตรงที่ผมขีดเส้นใต้ไว้ในมาตรา
5 ข้างต้น นี่แหละครับคือความหมายของ “ค่าจ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน !
ในกฎหมายแรงงานไม่มีคำว่า “เงินเดือน” นะครับ มีแต่คำว่า
“ค่าจ้าง” !!
ซึ่ง “ค่าจ้าง” ก็คือ “เงิน” (เป็นอย่างอื่น เช่น คูปอง
หรือการจ่ายที่ไม่ใช่เงินก็ไม่ได้นะครับ)
ที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันตั้งแต่ตอนรับเข้ามาทำงาน เพื่อเป็น
“ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง” หมายถึงเงินใดก็ตามที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้าง
“เพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงาน” จะเข้าข่ายคำว่าค่าจ้างครับ สำหรับระยะเวลาทำงานปกติ
ก็หมายถึงในเวลาทำงานปกติของพนักงาน ดังนั้นค่าทำงานล่วงเวลา
(ที่เรามักจะเรียกติดปากว่า “โอที”
ไม่ใช่ค่าจ้างเพราะเป็นการทำงานนอกเวลาทำงานปกติไงครับ)
เมื่อนำความหมายของค่าจ้างในมาตรา
5 มาวิเคราะห์เรื่องของคุณชวนชัยแล้ว ผมเชื่อว่าท่านคงได้คำตอบแล้วนะครับว่า
“ค่าจ้าง” ของคุณชวนชัยที่ถูกต้องคือเท่าไหร่ที่จะใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย..
50,000+5,000+2,000+3,000 = 60,000 บาท
เป็นคำตอบสุดท้ายครับ
ถ้าท่านยังข้องใจว่าเพราะอะไร..อธิบายได้อย่างนี้ครับ
เงินเดือน
50,000
บาท เป็นค่าตอบแทนการทำงานของคุณชวนชัยให้กับบริษัทไหมครับ (ใช่),
ค่าตำแหน่ง 5,000 บาท
เป็นค่าตอบแทนการทำงานให้กับบริษัทในฐานะผู้จัดการฝ่ายไหมครับ (ใช่), ค่าภาษา 3,000
บาทเป็นค่าตอบแทนการทำงานเพราะต้องใช้ภาษาจีนในการทำงานใช่หรือไม่
(ใช่), ค่าครองชีพเป็นค่าตอบแทนการทำงานให้กับบริษัทไหมครับ
(ใช่..แม้ว่าบริษัทจะบอกว่าเป็นสวัสดิการก็ตาม
แต่เพราะบริษัทจ่ายเงินตัวนี้โดยไม่ได้มีเจตนาให้เป็นสวัสดิการอย่างแท้จริง โดยจ่ายเท่ากันหมดทุกคนและไม่เคยปรับปรุงเงินตัวนี้ให้เป็นไปตามสภาวะค่าครองชีพที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเงินตัวนี้จึงกลายเป็นค่าจ้างครับ
- คำพิพากษาที่ ฎ.8938-8992/2552)
ปิดท้ายเรื่องนี้ผมจึงอยากจะย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
“ค่าจ้าง” ไม่ได้มีแค่ “เงินเดือน” เพียงอย่างเดียวนะครับ
แล้วบริษัทของท่านล่ะครับมี “อะไร” ที่เป็นค่าจ้างอีกบ้าง ?
………………………………………….