วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ตัวอย่างของบริษัทที่ไม่ควรทำงานด้วย


            ผมเพิ่งไปบรรยายหลักสูตร Public Training ให้กับบริษัทจัดฝึกอบรมแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ และมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประสานงานฝึกอบรมของบริษัทนี้ เธอเล่าให้ฟังว่าเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาด ๆ และได้ไปทำงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องหนังส่งออกมียี่ห้อแห่งหนึ่งแถว ๆ สุขุมวิท ซึ่งทำได้ประมาณเดือนครึ่งก็ตัดสินใจลาออก

            “ทำไมถึงลาออกเร็วนักล่ะ ?” ผมถามด้วยความอยากรู้

            เธอเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ลาออกจากบริษัททำธุรกิจเครื่องหนังส่งออกนั้น เพราะบริษัทดังกล่าวมีการปฏิบัติต่อพนักงานใหม่อย่างเธอดังนี้

1.      บริษัทรับเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานประจำสำนักงานดูแลงานธุรการทั่วไปในสำนักงาน แต่บริษัทมีเงื่อนไขว่าจะต้องหักเงินค้ำประกันความเสียหายในการทำงาน 3,000 บาทโดยหักจากเงินเดือนในเดือนแรกเต็มจำนวน

2.      เธอเซ็นสัญญาจ้างในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานกับบริษัท เวลาทำงาน 8.00-17.00 น.เมื่อเธอขอสำเนาสัญญาจ้าง ฝ่ายบุคคลปฏิเสธไม่ยอมให้สัญญาจ้างและบอกว่าสัญญาจ้างเป็นความลับต้องเก็บไว้ที่บริษัท

3.      เมื่อทำงานไปประมาณเกือบเดือน ผู้บริหารก็สั่งให้เธอไปออกงานอีเว้นท์ขายกระเป๋า, เครื่องหนังของบริษัทที่ศูนย์แสดงสินค้าชื่อดังแถว ๆ แจ้งวัฒนะซึ่งไกลจากที่ทำงาน (แถวสุขุมวิท) แถมไปขายเกินเวลาจนถึงประมาณสี่ทุ่มโดยบริษัทไม่ได้มีการจ่ายค่าล่วงเวลา และบอกว่าเป็นงานที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ ถ้าไม่ทำจะถือว่าขัดคำสั่งของบริษัท สรุปก็คือให้ไปขายสินค้าให้กับบริษัท 5 วันไม่ได้โอทีเลยแม้แต่วันเดียว แถมไม่มีค่าพาหนะเดินทางอะไรให้เลย

4.      หลังจากขายของครบ 5 วันแล้วไม่ได้โอที เธอก็เลยตัดสินใจลาออก ซึ่งก็เขียนใบลาออกส่งให้กับหัวหน้า แต่หัวหน้าบอกว่าไม่อนุมัติการลาออก โดยอ้างว่าตามระเบียบของบริษัทจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อนถึงจะลาออกได้ ดังนั้นถ้าเธอจะลาออกบริษัทก็จะยึดเงินค้ำประกันการทำงาน 3,000 บาท เพราะถือว่าทำให้บริษัทเสียหายหาคนมาแทนไม่ทัน

เป็นไงบ้างครับ เรื่องจริงจากชีวิตจริงของคนทำงานที่เพิ่งจบใหม่ ??

แต่น้องคนนี้แกก็ตัดสินใจลาออกโดยยอมให้บริษัทยึดเงินค้ำประกัน 3,000 บาท นะครับ เพราะเชื่อที่บริษัทบอกว่าบริษัทมีสิทธิหักได้ แต่แกก็ถามผมว่าที่จริงแล้วบริษัทมีสิทธิจะยึดเงินค้ำประกันไว้ตามระเบียบที่บริษัทกล่าวอ้างหรือไม่

 จากเรื่องจริงที่ผมเล่ามานี้เป็นอุทาหรณ์ที่ผมอยากจะนำมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ (รวมถึงบอกให้น้องคนนี้ได้ทราบ) สิ่งที่ถูกต้องดังนี้ครับ

1.      บริษัทไม่มีสิทธิที่จะหักเงินค้ำประกันการทำงานตั้งแต่แรกแล้วนะครับ เพราะตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) ปี 2551 ระบุไว้ในมาตรา 10 ระบุไว้ชัดเจนว่า “....ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือการค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้างเว้นแต่ลักษณะหรือสภาพงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้....” จะเห็นได้ว่ากรณีของน้องคนนี้เธอไม่ได้ทำงานที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หรือทรัพย์สินของบริษัทอะไรเลย เป็นงานธุรการประจำสำนักงาน ดังนั้นถ้าบริษัทเรียกเงินค้ำประกันการทำงานจากน้องคนนี้ก็ถือว่าบริษัทนี้ทำผิดกฎหมายแรงงานแล้วครับ ดังนั้นถ้าท่านไปสมัครงานและบริษัทนั้นเรียกเงินค้ำประกัน (หรือแม้แต่จะให้หาคนมาค้ำประกัน) ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ ผมว่าท่านควรคิดดูให้ดี ๆ ว่าเราควรจะทำงานกับบริษัทที่ส่อเจตนาทำผิดกฎหมายแรงงานและเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่แรกแบบนี้หรือไม่

2.      สัญญาจ้างงานไม่ใช่ความลับตามที่ฝ่ายบุคคล (ซึ่งผมมั่นใจว่าต้องไม่ใช่ฝ่ายบุคคลมืออาชีพอย่างแน่นอน เพราะคนที่เป็นมืออาชีพ HR จะต้องไม่พูดอย่างนี้) กล่าวอ้าง ซึ่งหากเป็นมืออาชีพก็ควรจะให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่ด้วยเพื่อยืนยันเงื่อนไขสภาพการจ้างอย่างโปร่งใสชัดเจน ซึ่งผมไม่เห็นว่าการให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่จะเป็นเรื่องลับอะไรเลย

3.      การที่บริษัทสั่งให้ไปทำงานออกอีเว้นท์จนเลยเวลาทำงานปกติแล้วไม่ให้ค่าล่วงเวลาก็ผิดกฎหมายแรงงานอีกด้วย แถมยังมาอ้างว่าถ้าไม่ไปทำจะถือว่าขัดคำสั่งบริษัท  ซึ่งกรณีนี้หากไม่ไปทำงานออกอีเว้นท์ก็ไม่ถือว่าขัดคำสั่งนายจ้างนะครับ เพราะงานของน้องคนนี้เป็นงานธุรการทั่วไปไม่มีหน้าที่ไปออกอีเว้นท์ขายของซึ่งเป็นงานของฝ่ายขายครับ ผมถึงบอกว่าคนที่ทำฝ่ายบุคคลบริษัทแห่งนี้คงเป็นใครสักคนที่บริษัทเป็นคนอุปโลกน์ให้ว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแบบกลวง ๆ ที่ไม่ใช่มืออาชีพ  ซึ่งคนพวกนี้แหละครับที่ทำให้พนักงานอื่น ๆ มองคนที่ทำงานฝ่ายบุคคลในแง่เสียหาย มองว่า HR เป็นพวกที่ชอบเอาเปรียบพนักงาน พวกบ้าอำนาจ ฯลฯ ซึ่งผมว่าท่านที่เป็น HR มืออาชีพควรจะต้องนำกรณีที่ผมเล่ามานี้เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้มีพฤติกรรมทำนองนี้ด้วยนะครับ

4.      ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า “การลาออกเป็นสิทธิของลูกจ้าง” เมื่อพนักงานยื่นใบลาออกและระบุว่าการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ การลาออกก็จะมีผลตามวันที่ระบุไว้โดยไม่ต้องรอว่านายจ้างจะอนุมัติหรือไม่ (แต่การเป็นพนักงานที่ดีก็ควรทำตามระเบียบบริษัทซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้ยื่นล่วงหน้า  30 วัน) แต่กรณีบริษัทที่มีพฤติกรรมแบบนี้ที่มาอ้างว่าการลาออกต้องทำตามระเบียบคือให้ผู้บริหารอนุมัติเสียก่อนถึงจะลาออกได้ อ้างแบบนี้ก็ผิดแล้วล่ะครับ แถมมายึดเงินค้ำประกันไว้ 3,000 บาทไม่ยอมจ่ายคืนเสียอีกทั้ง ๆ ที่พนักงานก็ไม่ได้ทำอะไรให้บริษัทเสียหายเลย ผมบอกน้องคนนี้ไปว่าถ้าไปร้องเรียนกับแรงงานเขตพื้นที่หรือไปฟ้องศาลแรงงานล่ะได้คืนแน่ ๆ แถมยังจะได้ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดชำระอีกร้อยละสิบห้าต่อปีต่างหาก แต่น้องเขาก็บอกว่าไม่อยากเสียเวลาไปศาลก็เลยปล่อยให้บริษัทขี้โกงรายนี้เอาเปรียบลูกจ้างหน้าใหม่รายอื่นอีกต่อไป

 ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้เพื่ออยากจะฝากข้อเตือนใจถึง HR มืออาชีพทุกท่านได้ทราบไว้เป็นข้อคิดและเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นจะต้องให้ความรู้กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัททราบด้วยว่าการกระทำอะไรบ้างที่ผิดกฎหมายแรงงานเป็นการเอาเปรียบพนักงาน อะไรถูกอะไรผิด อะไรทำได้หรือไม่ควรทำ ฯลฯ ซึ่งหากทำไปแล้วจะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกในทางลบกับบริษัทหรือจะเกิดปัญหากับบริษัทในอนาคต ซึ่งการเป็น HR มืออาชีพจำเป็นจะต้องกล้าพูดความจริงและทำในสิ่งที่ถูกต้องครับ

 

………………………………….