ผมเพิ่งไปบรรยายหลักสูตร Public Training ให้กับบริษัทจัดฝึกอบรมแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
และมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประสานงานฝึกอบรมของบริษัทนี้ เธอเล่าให้ฟังว่าเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาด
ๆ และได้ไปทำงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องหนังส่งออกมียี่ห้อแห่งหนึ่งแถว ๆ
สุขุมวิท ซึ่งทำได้ประมาณเดือนครึ่งก็ตัดสินใจลาออก
“ทำไมถึงลาออกเร็วนักล่ะ
?” ผมถามด้วยความอยากรู้
เธอเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ลาออกจากบริษัททำธุรกิจเครื่องหนังส่งออกนั้น
เพราะบริษัทดังกล่าวมีการปฏิบัติต่อพนักงานใหม่อย่างเธอดังนี้
1.
บริษัทรับเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานประจำสำนักงานดูแลงานธุรการทั่วไปในสำนักงาน
แต่บริษัทมีเงื่อนไขว่าจะต้องหักเงินค้ำประกันความเสียหายในการทำงาน 3,000 บาทโดยหักจากเงินเดือนในเดือนแรกเต็มจำนวน
2.
เธอเซ็นสัญญาจ้างในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการสำนักงานกับบริษัท
เวลาทำงาน 8.00-17.00
น.เมื่อเธอขอสำเนาสัญญาจ้าง ฝ่ายบุคคลปฏิเสธไม่ยอมให้สัญญาจ้างและบอกว่าสัญญาจ้างเป็นความลับต้องเก็บไว้ที่บริษัท
3.
เมื่อทำงานไปประมาณเกือบเดือน
ผู้บริหารก็สั่งให้เธอไปออกงานอีเว้นท์ขายกระเป๋า,
เครื่องหนังของบริษัทที่ศูนย์แสดงสินค้าชื่อดังแถว ๆ แจ้งวัฒนะซึ่งไกลจากที่ทำงาน
(แถวสุขุมวิท) แถมไปขายเกินเวลาจนถึงประมาณสี่ทุ่มโดยบริษัทไม่ได้มีการจ่ายค่าล่วงเวลา
และบอกว่าเป็นงานที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ ถ้าไม่ทำจะถือว่าขัดคำสั่งของบริษัท
สรุปก็คือให้ไปขายสินค้าให้กับบริษัท 5 วันไม่ได้โอทีเลยแม้แต่วันเดียว
แถมไม่มีค่าพาหนะเดินทางอะไรให้เลย
4.
หลังจากขายของครบ 5 วันแล้วไม่ได้โอที
เธอก็เลยตัดสินใจลาออก ซึ่งก็เขียนใบลาออกส่งให้กับหัวหน้า
แต่หัวหน้าบอกว่าไม่อนุมัติการลาออก
โดยอ้างว่าตามระเบียบของบริษัทจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อนถึงจะลาออกได้
ดังนั้นถ้าเธอจะลาออกบริษัทก็จะยึดเงินค้ำประกันการทำงาน 3,000 บาท
เพราะถือว่าทำให้บริษัทเสียหายหาคนมาแทนไม่ทัน
เป็นไงบ้างครับ
เรื่องจริงจากชีวิตจริงของคนทำงานที่เพิ่งจบใหม่ ??
แต่น้องคนนี้แกก็ตัดสินใจลาออกโดยยอมให้บริษัทยึดเงินค้ำประกัน
3,000
บาท นะครับ เพราะเชื่อที่บริษัทบอกว่าบริษัทมีสิทธิหักได้
แต่แกก็ถามผมว่าที่จริงแล้วบริษัทมีสิทธิจะยึดเงินค้ำประกันไว้ตามระเบียบที่บริษัทกล่าวอ้างหรือไม่
จากเรื่องจริงที่ผมเล่ามานี้เป็นอุทาหรณ์ที่ผมอยากจะนำมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ
(รวมถึงบอกให้น้องคนนี้ได้ทราบ) สิ่งที่ถูกต้องดังนี้ครับ
1.
บริษัทไม่มีสิทธิที่จะหักเงินค้ำประกันการทำงานตั้งแต่แรกแล้วนะครับ
เพราะตามพรบ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) ปี 2551 ระบุไว้ในมาตรา 10 ระบุไว้ชัดเจนว่า “....ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานไม่ว่าจะเป็นเงิน
ทรัพย์สินอื่น
หรือการค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้างเว้นแต่ลักษณะหรือสภาพงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้....”
จะเห็นได้ว่ากรณีของน้องคนนี้เธอไม่ได้ทำงานที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ
หรือทรัพย์สินของบริษัทอะไรเลย เป็นงานธุรการประจำสำนักงาน
ดังนั้นถ้าบริษัทเรียกเงินค้ำประกันการทำงานจากน้องคนนี้ก็ถือว่าบริษัทนี้ทำผิดกฎหมายแรงงานแล้วครับ
ดังนั้นถ้าท่านไปสมัครงานและบริษัทนั้นเรียกเงินค้ำประกัน
(หรือแม้แต่จะให้หาคนมาค้ำประกัน) ทั้ง ๆ
ที่ท่านไม่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
ผมว่าท่านควรคิดดูให้ดี ๆ ว่าเราควรจะทำงานกับบริษัทที่ส่อเจตนาทำผิดกฎหมายแรงงานและเอาเปรียบพนักงานตั้งแต่แรกแบบนี้หรือไม่
2.
สัญญาจ้างงานไม่ใช่ความลับตามที่ฝ่ายบุคคล
(ซึ่งผมมั่นใจว่าต้องไม่ใช่ฝ่ายบุคคลมืออาชีพอย่างแน่นอน เพราะคนที่เป็นมืออาชีพ HR จะต้องไม่พูดอย่างนี้) กล่าวอ้าง
ซึ่งหากเป็นมืออาชีพก็ควรจะให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่ด้วยเพื่อยืนยันเงื่อนไขสภาพการจ้างอย่างโปร่งใสชัดเจน
ซึ่งผมไม่เห็นว่าการให้สำเนาสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่จะเป็นเรื่องลับอะไรเลย
3.
การที่บริษัทสั่งให้ไปทำงานออกอีเว้นท์จนเลยเวลาทำงานปกติแล้วไม่ให้ค่าล่วงเวลาก็ผิดกฎหมายแรงงานอีกด้วย
แถมยังมาอ้างว่าถ้าไม่ไปทำจะถือว่าขัดคำสั่งบริษัท
ซึ่งกรณีนี้หากไม่ไปทำงานออกอีเว้นท์ก็ไม่ถือว่าขัดคำสั่งนายจ้างนะครับ
เพราะงานของน้องคนนี้เป็นงานธุรการทั่วไปไม่มีหน้าที่ไปออกอีเว้นท์ขายของซึ่งเป็นงานของฝ่ายขายครับ
ผมถึงบอกว่าคนที่ทำฝ่ายบุคคลบริษัทแห่งนี้คงเป็นใครสักคนที่บริษัทเป็นคนอุปโลกน์ให้ว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแบบกลวง
ๆ ที่ไม่ใช่มืออาชีพ ซึ่งคนพวกนี้แหละครับที่ทำให้พนักงานอื่น
ๆ มองคนที่ทำงานฝ่ายบุคคลในแง่เสียหาย มองว่า HR เป็นพวกที่ชอบเอาเปรียบพนักงาน
พวกบ้าอำนาจ ฯลฯ ซึ่งผมว่าท่านที่เป็น HR มืออาชีพควรจะต้องนำกรณีที่ผมเล่ามานี้เพื่อเตือนใจตัวเองไม่ให้มีพฤติกรรมทำนองนี้ด้วยนะครับ
4.
ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า “การลาออกเป็นสิทธิของลูกจ้าง”
เมื่อพนักงานยื่นใบลาออกและระบุว่าการลาออกจะมีผลตั้งแต่วันที่เท่าไหร่
การลาออกก็จะมีผลตามวันที่ระบุไว้โดยไม่ต้องรอว่านายจ้างจะอนุมัติหรือไม่
(แต่การเป็นพนักงานที่ดีก็ควรทำตามระเบียบบริษัทซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้ยื่นล่วงหน้า 30 วัน)
แต่กรณีบริษัทที่มีพฤติกรรมแบบนี้ที่มาอ้างว่าการลาออกต้องทำตามระเบียบคือให้ผู้บริหารอนุมัติเสียก่อนถึงจะลาออกได้
อ้างแบบนี้ก็ผิดแล้วล่ะครับ แถมมายึดเงินค้ำประกันไว้ 3,000 บาทไม่ยอมจ่ายคืนเสียอีกทั้ง
ๆ ที่พนักงานก็ไม่ได้ทำอะไรให้บริษัทเสียหายเลย
ผมบอกน้องคนนี้ไปว่าถ้าไปร้องเรียนกับแรงงานเขตพื้นที่หรือไปฟ้องศาลแรงงานล่ะได้คืนแน่
ๆ แถมยังจะได้ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดชำระอีกร้อยละสิบห้าต่อปีต่างหาก แต่น้องเขาก็บอกว่าไม่อยากเสียเวลาไปศาลก็เลยปล่อยให้บริษัทขี้โกงรายนี้เอาเปรียบลูกจ้างหน้าใหม่รายอื่นอีกต่อไป
………………………………….