วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

ข้อคิดก่อนจะจ้าง Talent คนนอก (ตอนที่ 2)


ในตอนที่แล้วผมพูดถึงข้อคิดสำหรับองค์กรที่คิดจะจ้าง Talent คนนอกเข้ามาทำงานว่ามีอะไรบ้างที่ควรคิดให้ดีเสียก่อน ซึ่งผ่านไปแล้ว 5 เรื่อง สำหรับในตอนนี้ผมขอพูดถึงประเด็นที่ควรคิดเพิ่มเติมต่อดังนี้ครับ

6.      Talent ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานใหม่ได้ก็จะไม่มีผลงานอย่างที่ฝ่ายบริหารคาดหวัง จากช่วงที่มี Honeymoon period ในช่วงแรก ๆ ก็กลายเป็นน้ำผึ้งขมไปซะแล้ว มักจะพบกว่า Talent ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับองค์กรใหม่ได้จะมีราว ๆ 30-40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งหาก Talent ปรับตัวเข้ากับที่ใหม่ไม่ได้ก็จะลาออกไป หรือหากผลงานไม่เข้าตาม KPIs ถูกองค์กรเลิกจ้างไปก็มี เพราะผมได้บอกไปแล้วในตอนต้นว่าองค์ประกอบที่ทำให้ Talent มีผลงาน เก่ง เด่น ดัง ขึ้นมาได้นั้นมีองค์ประกอบคือตัว Talent เอง และปัจจัยภายนอก ซึ่งตอนที่เขาอยู่ที่องค์กรเดิมเขาอาจจะมีปัจจัยภายนอกเกื้อกูลสนับสนุนอยู่มาก เช่น ได้นายดี, ลูกน้องเก่ง, สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงานดี, มีเครื่องมืออุปกรณ์ประกอบการทำงานที่เพียบพร้อม, เพื่อนร่วมงานเยี่ยม, ได้รับการฝึกฝนพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ฯลฯ แต่พอมาในองค์กรใหม่อาจจะไม่ได้มีปัจจัยภายนอกสนับสนุนแบบที่เดิม ก็เลยทำให้ Talent ปล่อยของ (ผลงาน) ได้ไม่เหมือนเดิม ไม่อาจจะฉายแสงส่องประกายโชว์ศักยภาพได้เหมือนที่เดิมที่เคยทำมา

7.      ดังนั้น ถ้า Talent ไปอยู่ในองค์กรขนาดใกล้เคียงกันกับที่เดิม (ที่ลาออกมา) หรือมีสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอกคล้าย ๆ ที่เดิม ก็จะมีโอกาสปรับตัวและทำผลงานได้ดีกว่าไปอยู่ในองค์กรที่ขนาดเล็กลงกว่าเดิม ซึ่งผมเชื่อว่าท่านคงเคยเห็นการจ้าง Talent ที่มีชื่อเสียง มีผลงานจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำงานเป็นระบบ ไปอยู่ในบริษัทที่เล็กกว่าเดิมโดยคาดหวังว่า Talent น่าจะนำประสบการณ์จากบริษัทใหญ่ ๆ ที่เป็นระบบมาพัฒนาสร้างบริษัทที่เล็กกว่านั้นให้ดีขึ้น ซึ่งเมื่อ Talent มาเจอกับความไม่เป็นระบบและ ความไม่พร้อมของบริษัทที่เล็กกว่าก็จะทำให้ Talent อึดอัดและลาออกไปในที่สุด

จากที่ผมให้ข้อคิดมาข้างต้นนั้น นำมาสู่ข้อคิดปิดท้ายของเรื่องนี้คือ

8.      องค์กรควรหันกลับมาคิดที่จะพัฒนา “คนใน”  อย่างเป็นระบบเพื่อทำให้คนในของเราเป็น Talent ให้ได้จะดีกว่าการคิดที่จะจ้าง Talent คนนอกเพียงอย่างเดียวจะดีหรือไม่ ซึ่งผมเชื่อว่าพอพูดกันในเรื่องนี้แล้วผู้บริหารทุกองค์กรก็จะบอกว่า “เห็นด้วย” แต่หลังจากนั้นก็ยังคงพัฒนาคนในองค์กรแบบสะเปสะปะ จัดอบรมกันไปปีต่อปีแบบไม่มีแผนระยะยาวเหมือนเดิม คือสรุปว่าผู้บริหารเห็นด้วยแต่ไม่ทำอะไรเลย เห็นด้วยแต่ยังคงปล่อยให้มีการพัฒนาคนในแบบเปะปะเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนี้คงได้แต่ฝันกลางวันไปเรื่อย ๆ นะครับ ดังนั้นถ้าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเห็นด้วยกับการพัฒนาคนในให้เป็น Talent ได้ควรเริ่มทำดังนี้

8.1  ค้นหาสมรรถนะความสามารถ (Competency) ของตำแหน่งงานในแต่ละฝ่าย (Functional Competency) ให้ชัดเจนเสียก่อน ในเรื่องนี้ผมจะแนะนำเป็นประจำว่าถ้าองค์กรของท่านยังไม่มีระบบ Competency มาก่อนก็ควรจะเริ่มต้นจากการทำ Functional Competency (ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่า Job Competency หรือ Technical Competency) เสียก่อน แล้วค่อยทำเรื่อง Core Competency เป็นลำดับต่อมาครับ

8.2  นำ Competency มาทำแผนพัฒนาบุคลากรระยะยาวที่เรียกว่า Training & Development Roadmap (รายละเอียดของทั้ง 8.1 และ 8.2 ไปอ่านในใน http://tamrongsakk.blogspot.com หมวดการพัฒนาบุคลากร) ซึ่งจะทำให้แต่ละหน่วยงานมีแผนการพัฒนาคนในตั้งแต่แรกเข้ามาทำงานให้ได้รับการเรียนรู้ (การฝึกอบรม+การพัฒนารูปแบบอื่น ๆ เช่นการสอนงาน, การสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน, การส่งไปดูงาน ฯลฯ)  อย่างเป็นระบบในแต่ละปีที่คน ๆ นั้นจะเติบโตก้าวหน้าไป หรือพูดง่าย ๆ ว่าองค์กรควรจะต้องวางแผนการพัฒนาคนในทุกฝ่ายทุกหน่วยงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ที่ไม่ใช่แค่การจัดฝึกอบรมแบบปีต่อปีแล้วส่งพนักงานไปเข้าอบรมกันไปเรื่อย ๆ แล้วเสียเงินค่าฝึกอบรมไปแบบไม่คุ้มค่ากันทุกปีเหมือนที่เคยทำมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาวเลยแหละครับ คงไม่สามารถนำมาเขียนในที่นี้ได้หมด

8.3  มีแผนการพัฒนาและติดตามความคืบหน้าในการพัฒนาของพนักงาน (ทั้งพนักงานทั่วไปและกลุ่ม Talent) เป็นรายบุคคลที่เรามักจะเรียกว่า IDP (Individual Development Plan) ซึ่งหัวใจสำคัญคือจะต้องมีการติดตาม (Follow up) ผลการพัฒนาโดยมีตัววัดและเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น

9        ถ้าพบว่าคนในขาด Competency มาก หรือพัฒนายากไม่สามารถพัฒนาให้ไปต่อได้ในหลาย ๆ หน่วยงานของบริษัท ผมว่าอย่างนี้ท่านควรจะต้องหันกลับมาทบทวนกระบวนการสรรหาคัดเลือก (Recruitment & Selection) แล้วว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน ทำไมคนที่มีหน้าที่รับผู้สมัครเข้ามาทำงานไม่ว่าจะเป็น HR หรือ Line Manager ในหน่วยงานต่าง ๆ มีทักษะหรือเทคนิคในการสัมภาษณ์ที่ดีแค่ไหน เพราะด่านการสัมภาษณ์นี้เป็นด่านสำคัญที่จะกรองคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในบริษัท เปรียบเสมือนคำพูดที่ว่า You are what you eat” ถ้าคนที่มีหน้าที่สัมภาษณ์ขาดทักษะที่ดีก็จะทำให้องค์กรได้คนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาเป็นปัญหาในอนาคตต่อไปด้วย

ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ของผมล้วน ๆ ซึ่งท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็คงเป็นสิทธิของท่านผู้อ่านทุกท่าน เพราะผมเพียงแต่อยากจะแชร์ประสบการณ์เล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นข้อคิดสำหรับท่าน (ถ้าท่านเห็นด้วย) เพื่อนำไปคิดเพื่อหาทางแก้ปัญหาเรื่องคนในองค์กรของท่านต่อไปครับ

 …………………………………………..