พนักงานที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึก ๆ เป็นคนทุ่มเทให้กับงาน จริงหรือครับ ?
หัวหน้างานหลายคนมักจะนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องสำคัญในการพิจารณาช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสเสียด้วยสิ
หลักคิดก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก
ใครกลับดึกคนนั้นอุทิศตัวให้กับงาน ใครกลับเร็ว
(หมายถึงพอถึงเวลาเลิกงานแล้วสักพักก็กลับบ้าน ไม่ได้หมายถึงกลับก่อนเวลาเลิกงานนะครับ)
ก็แสดงว่าคน ๆ นั้นไม่สู้งาน ไม่ขยัน ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ฯลฯ
แล้วแต่สารพัดข้อหาจะยัดเยียดให้
หัวหน้าหลายคนที่มีความคิดทำนองนี้ก็มักจะเรียกลูกน้องประชุมช่วงใกล้
ๆ จะเลิกงานอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อง (บางคน) กลับบ้านเร็วเกินไป
และการประชุมก็มักจะลากยาวไปจนค่ำ ๆ เสียด้วย
ท่านเคยเจอหัวหน้างานทำนองนี้บ้างไหมครับ
?
ผมว่าปัญหาทำนองนี้เป็นปัญหาในเรื่องของวิธีคิดแบบเชื่อมโยงตรรกะที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
ซึ่งความคิดทำนองนี้ก็เลยทำให้เกิดค่านิยมบางอย่างในตัวคนขึ้นมา ยิ่งถ้าคน ๆ
นั้นได้เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้บริหารแล้วยังมีวิธีคิดแบบรวบยอดที่อาจจะไม่ถูกต้องทำนองนี้ก็ย่อมจะทำให้คนที่เป็นลูกน้องอึดอัดหาวเรอ
เผลอ ๆ นั่งเซ็งกันได้เป็นธรรมดา
ส่วนลูกน้องที่
“ทำงานเป็น” รู้ว่าหัวหน้าชอบคนกลับดึก ๆ ก็มักจะดึงเช็งในช่วงเวลางาน
คือในชั่วโมงทำงานก็ทำแบบเนียน ๆ เรื่อย ๆ จะได้มีอะไรเอาไว้ทำตอนหลังเลิกงาน
บางคนก็อาจจะคิดว่ากลับค่ำ ๆ ดึก ๆ หน่อยก็ดี รถจะได้ไม่ติดมาก ก็นั่งเล่น Facebook ไปตอนที่หัวหน้าไม่ได้เดินมาตรวจงาน
พอหัวหน้าเดินมาก็ทำเป็นเอางานขึ้นมาทำ
ฯลฯ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน
เรามาลองดูอีกมุมหนึ่งไหมครับว่า
การมีค่านิยมให้ลูกน้องกลับบ้านดึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องก็เคลียงานหมดแล้ว บริษัทจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง
1. ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา
ในกรณีที่หัวหน้าสั่งให้ลูกน้องทำงานหลังเวลาทำงานปกติ ซึ่งบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้
2. ค่าน้ำ,
ค่าไฟฟ้า, ค่าโทรศัพท์ ที่บริษัทต้องจ่าย
เพราะการที่พนักงานอยู่หลังเวลางานหน่วยงานนั้น ๆ ยังต้องเปิดไฟแสงสว่าง,
เปิดแอร์, พนักงานยังต้องไปเข้าห้องน้ำใช้น้ำใช้กระดาษทิชชู่,
ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร, เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์(แต่อาจเล่น Facebook ส่วนตัว), โทรศัพท์คุยกับคนที่บ้าน
ฯลฯ ลองให้ฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายหลังเวลางานดูสิครับว่าวัน ๆ
หนึ่ง หรือเดือน ๆ หนึ่งคิดเป็นเงินกี่บาท ปีละกี่บาท
3. พนักงานที่คุณภาพชีวิตที่แย่ลง
“Work life balance” ที่ต้องเสียไป
กว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมง หลายคนต้องมีครอบครัวต้องดูแล การพักผ่อนน้อย
ไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เสียสุขภาพในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีคนขี้โรคเพิ่มมากขึ้นจากการไม่สมดุลชีวิตกับการทำงาน
คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร (ขนาดเครื่องจักรยังต้องมีการพักซ่อมบำรุงเลย)
ต้องมีการพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่โหมงานดึกทุกวันทุกเดือนตลอดทั้งปี
4. จากผลกระทบข้อ
3 พนักงานบางคนก็มีปัญหาครอบครัว เช่น ภรรยา
(บางคนที่ทำตัวเป็นฝ่ายสืบสวน) จะคอยซักถามว่าทำไมสามีกลับบ้านดึกมีกิ๊กหรือเปล่าแล้วก็ทะเลาะกัน
หรือ ลูกไม่มีใครดูแลทำให้เป็นเด็กติดเกม ฯลฯ ซึ่งปัญหาครอบครัวเหล่านี้หลายครั้งก็จะกลับมาเป็นปัญหาในเรื่องงาน
เพราะเมื่อพนักงานเครียดเรื่องครอบครัวก็เลยทำให้เซ็ง เบื่อ ไม่อยากทำงานไปเลยก็มี
อย่าลืมว่าแต่ละคนล้วนมีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก
หรือมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว จึงจำเป็นต้องมีชีวิตส่วนตัวและครอบครัวด้วยนะครับ
5. พนักงานที่รับแนวคิดทำนองนี้ไม่ได้ (โดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงพวก Gen
Y) ก็จะมองว่าหัวหน้าเป็นพวกบริหารเวลาไม่ดี ครอบครัวมีปัญหา
โลกแคบเพราะมีแต่ที่ทำงานไม่รู้จักไปสังคมสังสรรค์ซะบ้างเลย ฯลฯ ก็เลยลาออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า
บริษัทก็จะต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์หาคนมาแทนกันอีก ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน
แถมเมื่อได้คนมาแทนแล้วอีกไม่นานก็มีแนวโน้มจะทำให้พนักงานใหม่ลาออกอีกเช่นเคยเพราะรับค่านิยมแบบนี้ไม่ได้
ยิ่งบางแห่งทำงานสัปดาห์ละ 6 วันแล้วต้องกลับดึก ๆ ทุกวัน ก็จะพบว่าอัตราการลาออกสูงเพราะสาเหตุนี้แหละครับ
ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้ท่านทำงานกันไปวัน
ๆ โดยคอยจ้องนาฬิกาว่าพอถึงเวลาเลิกงานก็รีบกระโจนไปรูดบัตรออกจากบริษัททันทีนะครับ
!!
เพียงแต่อยากจะให้ข้อคิดว่า
ในการทำงานนั้นเขาให้เวลาทำงานกัน 8 ชั่วโมงต่อวัน
เราก็ควรจะทำให้เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มที่กับมัน บริหารเวลาให้ดี
ทำงานให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หรือควบคุมดูแลงานของเราให้ดีในแต่ละวัน
และมีเวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง, ออกกำลังกายบ้าง,
พักผ่อนบ้าง ฯลฯ เพื่อสมดุลชีวิตไม่ให้บ้างาน (Workaholic มากจนเกินไป)
แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานด่วน งานเร่ง งานฉุกเฉินที่ต้องรับผิดชอบ
อาจจะต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเคลียงานด่วนเหล่านั้น
อย่างนี้ก็ยังพอรับได้เพราะเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน
ซึ่งคงไม่ใช่การทำงานเกินเวลาแบบเป็นประจำทุกวัน
ๆ ละเกิน 12 ชั่วโมงไปอย่างนี้ตลอดทั้งปี และติดต่อกันหลายปี
แถมเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานก็ต้องทำงานกันตามค่านิยมอย่างนี้แหละถึงจะอยู่ด้วยกันได้
ถ้ามีแนวคิดอย่างนี้ล่ะก็ผมว่าคงไม่สมเหตุสมผลแล้วล่ะครับ
!
ก็ในเมื่อถ้าพนักงานทำงานเสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย
ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะมีเหตุผลอะไรอีกที่หัวหน้าจะต้องให้อยู่ดึก ๆ ทุกวันล่ะ
ก็คงมาสรุปกันตรงที่หลักพระพุทธองค์ท่านเคยสอนไว้ก็คือการเดินสายกลาง
ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งน่ะ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด
เพียงแต่หัวหน้างานหันกลับมาใช้คติ
“Work
life balance” ให้ดีทั้งตัวเองและลูกน้องจะได้มีความสุขทั้งในงานและชีวิตส่วนตัวจะได้
Win-Win ไม่ดีกว่าหรือครับ
……………………………….