“ผมจบวิศวะจากมหาวิทยาลัย....(ชื่อดังของเมืองไทย)
แห่งหนึ่งด้วยเกรดเฉลี่ย 2.90 แต่ผมสอบสัมภาษณ์ในบริษัทใหญ่
ๆ อย่าง SCG, PTT ไม่ติดซักที่
จนผมคิดว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เพื่อน ๆ ผมยังทักเลยว่าทำไมไม่ติด
แล้วมาวันหนึ่งผมไปสัมภาษณ์ติดที่บริษัทเล็ก
ๆ แห่งหนึ่งได้ทำงานตรงตามที่ผมจบมา เงินเดือนทดลองงาน 17,000 พ้นทดลองงาน 18,000 บาทเองครับ คนจบมาเกรดต่ำกว่าผมยังได้อย่างน้อย
ๆ 20,000 บาทเลย คิดแล้วน้ำตาจะไหล
แต่ผมก็เริ่มชอบสังคมที่ทำงานนี้เพราะบรรยากาศอบอุ่น น่ารัก ได้ทำงานอย่างที่อยากทำและได้เรียนรู้งาน
ผมควรจะหางานใหม่ดีไหมครับ….”
นี่เป็นคำถามจากน้องที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาด
ๆ และผมก็เชื่อว่าคำถามนี้คงจะตรงกับประสบการณ์ที่น้อง ๆ อีกหลายคนเจออยู่ตอนนี้
เลยอยากจะเอามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในเรื่องนี้
ถ้าดูจากความต้องการของคนจบใหม่
และยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ Gen
Y ไฟแรง ผมเชื่อว่าความต้องการของน้อง ๆ เหล่านี้คือ....
1. ได้ทำงานในองค์กรที่มีชื่อเสียง
เวลาคุยกับเพื่อนในงานสังสรรค์ศิษย์เก่าเลี้ยงรุ่น ฯลฯ
จะได้พูดชื่อองค์กรที่ทำงานอยู่ได้เสียงดัง (ให้คนอื่นได้ยินไปด้วย) ฟังชัด
เพราะคนอื่นฟังแล้วรู้ว่าองค์กรนี้คือที่ไหนใหญ่โตแค่ไหน
แต่ถ้าอยู่ในบริษัทโนเนมบอกไปแล้วคนฟังร้อง “ฮ๊า..บริษัทอะไรน่ะ”
ก็คงจะรู้สึกเสียเซฟล์ไปไม่น้อย จริงไหมครับ
2. ได้เงินเดือน
(รวมถึงสวัสดิการ) เยอะ ยิ่งเยอะกว่าเพื่อนยิ่งดี ตามคำขวัญที่ผมบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า
“เงินเดือนเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่”
เพราะเอาไว้พูดเกทับ บรั๊ฟข่มเพื่อน ๆ ให้อิจฉาเล่น
นอกจากนี้ควรจะมีโอกาสให้ได้ก้าวหน้าเลื่อนตำแหน่งได้เร็วยิ่งดี
3. บรรยากาศและสภาพการทำงานต้องดี
คือไม่ใช่อยู่กลางแจ้ง แดดร้อน เดี๋ยวโดน UV ผิวหยาบกระด้าง
เดี๋ยวเป็นสิวฝ้าขึ้นมาแล้ว Selfie ภาพไม่สวยอายเพื่อน ๆ ถ้าอยู่ในห้องแอร์จะพิจารณาเป็นพิเศษ (555) ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอยู่ในกรุงเทพจะดีที่สุด ถ้าเป็นต่างจังหวัด
ยิ่งเป็นจังหวัดไกล ๆ ขอคิดดูก่อน
4. มีหัวหน้าดี
เป็นกันเอง คอยเอาใจใส่ พูดคุยสอนงานเรา มีปัญหาอะไรก็สอบถามปรึกษาหารือพี่เขาได้เพราะเขาคอยรับฟัง
คอยสอนงานเหมือนพี่เหมือนน้อง พูดจาภาษาเดียวกัน และมีเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานที่เพียงพอ
เหมาะสมกับงานที่เราทำ
ผมว่าหลัก ๆ
คงมีประมาณนี้สำหรับน้อง ๆ ที่จบมาใหม่จริงไหมครับ ?
แต่ที่ผมเล่ามาทั้งหมดข้างต้นสามสี่ข้อนั้นน่ะ
ผมอยากจะบอกว่ามันเป็น “บริษัทในฝัน” น่ะครับ !!
บริษัทในฝันหมายถึงเป็นบริษัทที่อยู่ในความฝันไงครับ
เพราะพอตื่นมาอยู่ในสภาพความเป็นจริงมันก็ไม่เหมือนในฝัน เพราะเราอาจจะฝัน
(หรือคาดหวัง)
เรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานไว้ว่าจะต้องเพียบพร้อมสมบูรณ์อย่างที่เราต้องการ
แต่ชีวิตจริงก็คือในคนส่วนใหญ่ไม่มีใครได้ทำงานอย่างที่ตัวเองฝันนักหรอกครับ
สิ่งสำคัญก็คือ
“ถ้าเราไม่ทำงานที่เรารัก..แต่เรารักงานที่เราทำ” บ้างหรือเปล่า ?
ถ้าเราสามารถจะเลือกทำงานที่เรารักเราชอบได้ก็คงจะต้องถือว่าทำบุญมาดี….
แต่ถ้าเราไม่สามารถเลือกได้ล่ะ
เราจะคิดกับงานที่เราต้องทำอยู่ยังไงให้อยู่กับมันได้ ?
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ
หรือเป็นเถ้าแก่ผู้ประกอบการหลายคน ก็อาจจะไม่ได้ทำงานที่เขารัก
หรือที่เขาเคยฝันที่จะทำ แต่คนเหล่านั้นเขารักงานที่เขาทำอยู่ตรงหน้า
(แม้จะไม่ใช่งานที่ฝันอยากจะทำมาก่อน) และรับผิดชอบ มุ่งมั่นเอาใจใส่ทำงานนั้นให้ดีที่สุดจนประสบความสำเร็จต่างหาก
ผมคงต้องย้อนกลับมาพูดเรื่อง
“ทัศนคติคือทุก ๆ อย่างในชีวิต” กับน้อง ๆ ที่จบใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือความสำเร็จในอนาคตทุก ๆ อย่างจะขึ้นอยู่กับทัศนคติหรือวิธีคิดของน้อง ๆ
ครับ
ถ้าในกรณีของคำถามข้างต้น
ถ้าหากน้องมีวิธีคิดเสียใหม่ว่า
1. ไม่เอาเงินเดือนเราไปเปรียบเทียบกับเงินเดือนของเพื่อน
2. ไม่เอาบริษัทที่เราทำอยู่ไปเปรียบเทียบกับบริษัทของเพื่อน
3. ไม่ยึดติดหรือมี
Ego ว่าเราจบมาได้เกรดเฉลี่ยสูงกว่าเพื่อน
ทำไมเราถึงไม่ได้ทำงานบริษัทใหญ่ ๆ เหมือนเพื่อน
4. ฯลฯ
น้องจะเห็นว่าตัวอย่างที่บอกมา 3-4 ข้อข้างต้นนี้น่ะ มันเป็นทัศนคติเชิงลบ (Negative
Thinking) คิดแต่ในทางลบ ๆ
แบบนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ
แถมยังจะทำให้จิตใจของเราย่ำแย่ลงไปอีก
แต่ถ้าเรามีวิธีคิดเชิงบวก
(Positive
Thinking) เสียใหม่ว่า
1. เราอยู่ในบริษัทที่ได้ทำงานตรงกับที่เราเรียนรู้มา
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้สั่งสมความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่หาได้ยาก
ได้เรียนรู้งานหลาย ๆ ด้าน ที่ถ้าแม้เราไปทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ก็ไม่มีโอกาสแบบนี้
เพราะในองค์กรใหญ่คงเรียนรู้ได้ด้านใดด้านเดียว (หรือแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้ทำงานตรงกับที่เรียน
หรือที่อยากทำก็ตาม แต่อยากให้ลองคิดดูให้ดี ๆ ว่างานที่ทำอยู่นี้น่ะ
ยังมีข้อดีอะไรบ้างไหม
เราจะมีโอกาสได้เรียนรู้หรือทำงานนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้บ้างไหม)
ลองมองหาเรื่องบวกในเรื่องลบให้เจอสิครับว่ามีบ้างไหม ซึ่งผมไม่เชื่อว่างานที่น้อง
ๆ ทำอยู่จะมีแต่เรื่องเลวร้ายไม่ดีไปเสียทุกเรื่อง อยู่ที่ว่าเรา “อดทน” และให้เวลาอย่างเพียงพอที่จะเรียนรู้หรือค้นหาข้อดีของงานที่เราทำอยู่ได้หรือไม่
แต่ผมบอกไว้ได้อย่างหนึ่งว่า ตราบใดที่เรายังมีทัศนคติเชิงลบอยู่
เราจะไม่มีทางมองเห็นข้อดีของงานที่เราทำอยู่ได้เลย
2. แม้ว่าเงินเดือนของเราในวันนี้จะน้อยกว่าเพื่อน
ๆ แต่มันก็เป็นเงินเดือนของวันนี้
แต่ในอนาคตเมื่อเรามีความรู้ความสามารถในงานที่เพิ่มมากขึ้น
เราเร่งทำงานที่เป็นชื่อเสียงหรือเป็นชิ้นงานที่สำคัญของเราเอาไว้เรื่อย ๆ
ถึงวันนั้นแหละ เราก็จะเป็นคนกำหนดอนาคตในงานของเราได้เองไม่ใช่องค์กรหรือใครจะมาเป็นคนกำหนด
เพราะทุกวันนี้คนที่ทำงานดีมีฝีมือย่อมเป็นที่ต้องการขององค์กรต่าง ๆ อยู่เสมอ
3. การได้เกรดเฉลี่ยที่สูง
ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคน ๆ นั้นจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานระยะยาวเสมอไปครับ เพราะเกรดเฉลี่ยมันใช้แค่ตอนที่เพิ่งจบใหม่แล้วไปสมัครงานเท่านั้นแหละครับ
พอทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเขามาสนใจถามอีกหรอกว่า “คุณได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่”
แต่เขาจะดูว่า “คุณทำงานได้ดีหรือไม่” ต่างหาก เพราะความก้าวหน้าและความสำเร็จในงานขึ้นอยู่กับผลงานและความสามารถในงาน
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกรดเฉลี่ยตอนจบครับ จบป่ะ....
ถ้าน้อง ๆ
คิดได้อย่างนี้และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าเมื่อปัจจุบันดี
อนาคตย่อมดีตามไปด้วยอย่าง
แน่นอน อย่าลืมว่าถ้าเราเลือกที่จะคิดในทางบวกอนาคตก็มีแนวโน้มจะเป็นบวก
แต่ถ้าเราคิดลบอนาคตก็จะเป็นลบตามไปด้วย
ขอเป็นกำลังใจให้น้อง
ๆ ที่กำลังหางานและทำงานทุกคนครับ
………………………………..