คำถามตามชื่อหัวเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปในบริษัทต่าง
ๆ แต่ก็มักจะมีคำถามว่าแล้วควรจะทำยังไงมาอยู่เสมอ ๆ
ผมเลยขอนำแนวทางปฏิบัติมาแชร์ให้เกิดความเข้าใจตรงกันดังนี้นะครับ
1.
หาสถานที่แจ้งผลการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
เช่น
เป็นห้องประชุมที่มิดชิดสักหน่อยไม่ควรแจ้งผลในสถานที่เปิดโล่งและมีพนักงานคนอื่นร่วมด้วยช่วยกันนั่งฟัง
นึกถึงใจพนักงานที่ไม่ผ่านทดลองงานสิครับ
เขาคงจะอายไม่อยากให้ใครมานั่งรับฟังข้อบกพร่องหรือเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ผ่านทดลองงานหรอกจริงไหมครับ
2.
ควรแจ้งผลด้วยความเห็นอกเห็นใจ
โดยอธิบายสาเหตุของการไม่ผ่านทดลองงานว่ามีประเด็นใดบ้างซึ่งหัวหน้างานควรจะต้องมีข้อมูลผลการปฏิบัติงานรองรับว่ามีงานใดบ้างที่มีปัญหาหรือพนักงานมีพฤติกรรมใดบ้างที่เป็นปัญหา
ซึ่งควรใช้เหตุใช้ผลมากกว่าการใช้อารมณ์หรือความรู้สึกในการแจ้งผล
3.
ควรเปิดโอกาสรับฟังและให้พนักงานทดลองงานได้ชี้แจงในเหตุผลของพนักงานบ้าง
แต่ไม่จำเป็นต้องไปโต้แย้งอะไรให้มากนัก
โดยถือหลักรับฟังเป็นส่วนใหญ่เพราะอย่างไรบริษัทก็ไม่รับเป็นพนักงานประจำอยู่แล้ว
4.
ให้พนักงานเขียนใบลาออก (ผมจะเตรียมใบลาออกไว้เพื่อให้พนักงานเซ็นชื่อได้เลย)
โดยลงวันที่มีผล (ซึ่งอยู่ที่จะตกลงกันว่าจะเป็นวันไหน)
ส่วนใหญ่จากประสบการณ์ของผม มักจะมีผลในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่แจ้งผล เช่น
แจ้งวันที่ 5
มีนาคม ใบลาออกก็จะมีผลวันที่ 6 มีนาคม
แล้วบริษัทก็จะจ่ายเงินเดือนให้จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะให้ถูกต้องคือบริษัทจะจ่ายถึงแค่วันที่
5 มีนาคม เท่านั้น แต่ผมมักจะจ่ายให้ถึงสิ้นเดือนครับ
5.
กรณีที่พนักงานเขียนใบลาออกบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน
(ถ้ามีอายุงานตั้งแต่ 120 วันขึ้นไป)
หรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้าแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการลาออกของพนักงานตามปกติซึ่งส่วนใหญ่แทบทั้งหมดพนักงานทดลองงานมักจะยื่นใบลาออกเนื่องจากจะได้ไม่เสียประวัติว่าถูกเลิกจ้างเพราะไม่ผ่านทดลองงาน
เพราะหากพนักงานไปสมัครงานในบริษัทแห่งใหม่และต้องให้ข้อมูลว่าพ้นสภาพพนักงานจากที่เดิมด้วยสาเหตุใด
ก็จะได้กรอกไปว่าลาออกเอง แต่ถ้าใส่ว่าถูกเลิกจ้างเพราะไม่ผ่านทดลองงานก็จะทำให้บริษัทแห่งใหม่มีประเด็นสะดุดใจขึ้นมาว่าแล้วทำงานยังไงหรือมีปัญหาอะไรถึงได้ไม่ผ่านทดลองงานจนถูกเลิกจ้าง
6.
หากพนักงานแจ้งเท็จในใบสมัครงานในบริษัทแห่งใหม่ว่าลาออกเอง
(ทั้ง ๆ ที่ถูกเลิกจ้าง) ก็จะเป็นเหตุให้ถูกเลิกจ้างจากที่ใหม่ได้โดยไม่ได้รับค่าชดเชยหรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้านะครับ
เพราะใบสมัครของทุกบริษัทมักจะบอกไว้ข้างท้ายว่าถ้าผู้สมัครแจ้งข้อมูลเป็นเท็จบริษัทจะสามารถเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้ครับ
7.
กรณีพนักงานไม่ยอมเขียนใบลาออก
บริษัทก็ต้องทำหนังสือเลิกจ้าง
(ควรเตรียมหนังสือเลิกจ้างเอาไว้เลยถ้าพนักงานไม่เขียนใบลาออกก็ต้องยื่นหนังสือเลิกจ้าง)
โดยระบุเหตุผลว่ามีผลการปฏิบัติงานในระหว่างทดลองงานไม่ได้ตามมาตรฐานหรือมีปัญหาอย่างไรบ้าง
และระบุวันที่มีผลเลิกจ้างให้ชัดเจน
ซึ่งโดยทั่วไปก็คือมีผลในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่แจ้งเลิกจ้าง
ซึ่งในกรณีนี้บริษัทจะต้องจ่ายเงินดังนี้
7.1
ค่าชดเชยตามอายุงาน
ในกรณีที่พนักงานทดลองงานทำงานมาแล้ว (นับแต่วันเข้าทำงาน) ตั้งแต่ 120 วันขึ้นไป บริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานคือค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30
วัน (ที่ภาษาคนทำงานจะเรียกว่า “จ่ายค่าชดเชย 1 เดือน” นั่นแหละครับ)
และค่าชดเชยนี้ก็จะต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ทำงาน
ให้ท่านไปดูเพิ่มเติมเรื่องค่าชดเชยตามมาตรา 118 ของกฎหมายแรงงานนะครับ
7.2
ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
ซึ่งในเรื่องนี้มักจะเข้าใจกันว่า 1 เดือน
แต่ผมอยากจะบอกว่ายังเข้าใจไม่ถูกต้องกันในบางประเด็นดังนี้ครับ
คือการจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 17 จะจ่ายเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับการบอกเลิกจ้าง
ซึ่งการบอกเลิกจ้างจะต้องบอกเมื่อถึงหรือก่อนกำหนดการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้เป็นผลยกเลิกสัญญาจ้างเมื่อถึงกำหนดการจ่ายค่าจ้างคราวต่อไป
ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
บริษัทมีรอบการจ้างค่าจ้างทุกสิ้นเดือน
บริษัทเชิญพนักงานทดลองงานมาแจ้งเลิกจ้างวันที่ 31 มีนาคม
โดยหนังสือเลิกจ้างแจ้งว่ามีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน (1 เมษายนพนักงานไม่ต้องมาทำงานแล้ว)
อย่างนี้บริษัทก็จ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน
แต่ถ้าบริษัทแจ้งเลิกจ้างวันที่ 1 เมษายน
และบอกว่าวันรุ่งขึ้น (คือวันที่ 2 เมษายน)
ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ก็จะมีผลเท่ากับบริษัทไปบอกเลิกจ้างวันที่ 30 เมษายน ซึ่งก็จะต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม ก็จะเท่ากับจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 2 เดือนครับ
ดังนั้น จึงต้องดูวันที่จะแจ้งบอกกล่าวล่วงหน้าให้ดีเพราะถ้าแจ้งผิดจังหวะอย่างที่ผมยกตัวอย่างไปแล้ว
ก็จะทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าสูงสุดถึง 2 เดือน
ไม่ใช่ 1 เดือนเสมอไปอย่างที่เข้าใจกันนะครับ
8.
บางบริษัทมักจะเสียดายว่าเมื่อแจ้งพนักงานไม่ผ่านทดลองงานแล้ว
พนักงานเขียนใบลาออกแล้ว เช่นแจ้งพนักงานวันที่ 10 พฤษภาคม
แล้วยังอยากจะให้พนักงานทำงานให้คุ้มค่าจ้างไปจนถึงสิ้นเดือน (31 พฤษภาคม) ก็เลยให้พนักงานเขียนใบลาออกมีผลวันที่ 1 มิถุนายน
โดยไม่ได้คิดว่าคนที่ไม่ผ่านทดลองงานนั้นเขาก็คงไม่อยากจะมาทำงานแล้วล่ะครับ
ดังนั้นเขาก็อาจจะมาบ้างหยุดบ้าง
(ก็เขารู้ว่าไม่ได้อยู่ที่บริษัทนี้แล้วนี่ครับจะให้ขยันทำงานไปเพื่ออะไร?) เพราะสู้เอาเวลาไปหางานใหม่ ไปสัมภาษณ์ที่ใหม่ไม่ดีกว่าหรือ
พอเป็นอย่างนี้หัวหน้างานก็จะเรียกเขาไปต่อว่าเรื่องการมาทำงาน หรือมานั่งอารมณ์เสียกับเรื่องหยุมหยิมจุกจิกไม่เข้าเรื่องเหล่านี้อีก
ซึ่งวิธีที่ผมปฏิบัติมาก็คือจะให้ใบลาออกมีผลตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากแจ้งผลแล้วจ่ายค่าจ้างให้เขาไปถึงสิ้นเดือนเลยครับ
สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพราะพนักงานก็จะได้มีเวลาไปหางานใหม่ไม่ต้องมาแก้ปัญหาจู้จี้จุกจิกรำคาญใจกันอีก
ถือหลักใจเขา-ใจเราครับ
จากที่ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์มาทั้งหมดนี้คงจะทำให้ท่านเข้าใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นและได้ไอเดียนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติเมื่อพนักงานไม่ผ่านทดลองงานกันแล้วนะครับ
………………………………………