วันนี้มาว่ากันต่อจากเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ท่านฟังเมื่อคราวที่แล้วคือ
“เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการเลิกจ้าง” ซึ่งท่านที่พลาดเรื่องนี้ไปก็ไปตามอ่านได้ใน Blog
ของผมในหมวดกฎหมายแรงงานได้นะครับ
คราวนี้ก็จะมีคำถามต่อมาอีกว่าในกรณีที่พนักงานทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกเลิกจ้าง
เช่น นำยาเสพติดเข้ามาในบริษัท,
หรือลักขโมยทรัพย์สินของบริษัทไปขายแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา
เมื่อบริษัทสอบสวนแล้วมีความผิดจริงก็เลยเลิกจ้างนั้น
หากพนักงานดังกล่าวมาขอหนังสือรับรองผ่านงานบริษัทจะไม่ออกหนังสือรับรองผ่านงานให้ได้หรือไม่
?
บ้างก็บอกว่า “ต้องออกให้” บ้างก็ว่า “ไม่ต้องไปออกหนังสือรับรองให้หรอก
เพราะพวกนี้ประพฤติผิดร้ายแรง” หรือบ้างก็บอกว่า “ออกหนังสือรับรองให้ก็ได้
แต่ระบุสาเหตุเอาไว้ด้วยว่าถูกเลิกจ้างเพราะขโมยทรัพย์สินบริษัท” ฯลฯ
ก็ว่ากันไป..
ตรงนี้จึงอยากจะให้ท่านทราบหลักของกฎหมายแรงงานไว้ว่า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 585 บอกเอาไว้ชัดเจนว่า “เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างชอบที่จะได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไร
และงานที่ทำนั้นเป็นอย่างไร”
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าบริษัทจะต้องออกหนังสือรับรองผ่านงานให้พนักงานทุกกรณีเมื่อเขาขอมา
ไม่ว่าบริษัทจะเลิกจ้างเขา หรือเขาเขียนใบลาออกเองก็ตาม
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างซึ่งมักจะเป็นปัญหาอีกก็คือ....
เมื่อบริษัทเลิกจ้างพนักงานแล้วจะต้องจ่ายค่าจ้างเมื่อไหร่ถึงจะถูกต้อง
เช่น ต้องจ่าย ณ วันที่มีผลเลิกจ้าง หรือจ่าย ณ วันจ่ายเงินเดือนตามปกติของบริษัท
ฯลฯ
หลายคนก็ตอบไม่ถูกว่าตกลงแล้วบริษัทควรจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเมื่อไหร่ถึงจะถูกต้องกันแน่
?
และเมื่อไม่รู้ก็จะมีวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปตามความเข้าใจของแต่ละบริษัท
บางบริษัทก็จ่ายให้ตอนจ่ายเงินเดือนงวดสุดท้าย, บางแห่งก็จ่ายให้ 7 วันหลังจากเลิกจ้าง
ฯลฯ
ท่านล่ะ....ตอบได้ไหมครับ
?
เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราก็ไปดูมาตรา 70 ในกฎหมายแรงงานสิครับ
วรรคสุดท้ายบอกไว้ว่า....
“....ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง
ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ตามที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ให้แก่ลูกจ้างภายในสามวันนับแต่วันที่เลิกจ้าง”
เห็นที่ผมขีดเส้นใต้ไว้แล้วใช่ไหมครับ
?
ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทเลิกจ้างนาย A มีผลตั้งแต่วันที่
1 มีนาคมเป็นต้นไป บริษัทก็จะต้องจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา
ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้กับนาย A ไม่เกินวันที่
3 มีนาคม (3 วันนับแต่วันที่เลิกจ้างในที่นี้คือวันที่
1 มีนาคม) ไม่ใช่ไปจ่ายในวันที่เงินเดือนออกตามงวดปกติอย่างที่หลายคนเข้าใจกันและบอกต่อกันมาแบบผิด
ๆ
คราวนี้เราคงเข้าใจวิธีปฏิบัติในเรื่องนี้ตรงกันแล้วนะครับ
จากที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น
อยากจะให้ข้อคิดกับท่านว่าการได้ยินได้ฟังอะไรที่เขาบอกต่อ ๆ กันมานั้น
ท่านควรจะต้องใช้หลัก “กาลามสูตร” (ค้นรายละเอียดของคำนี้ในกูเกิ้ลนะครับ)
นั่นคืออย่าเชื่อเรื่องที่เขาบอกต่อ ๆ กันมาเชื่อข่าวลือที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือหาข้อมูลที่ถูกต้องเลยว่าจริงหรือเปล่า
เพราะจะเกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดและปฏิบัติไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้บริษัทถูกฟ้องร้องเสียชื่อเสียงเอาง่าย
ๆ
เพราะยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารยิ่งในเรื่องของกฎหมายแรงงานไม่เรื่องลึกลับอะไรเลย
เพียงแต่ทั้งฝ่ายบริหาร, หัวหน้างาน
และพนักงานหันมาให้ความสำคัญหรืออ่านเอาไว้บ้างก็จะเกิดความเข้าใจที่ตรงกันและลดปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ลงได้
และยังช่วยส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรได้อีกด้วยนะครับ
…………………………………………