คงไม่มีองค์กรไหนที่ไม่อยากได้คนเก่งคนดีทำงานอยู่ด้วยใช่ไหมครับ
? แน่ะ ! พอเริ่มต้นก็ขึ้นด้วยประโยคคำถามเลย
ผมว่าทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชน
ต่างก็อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถทำงานอยู่กับตัวทั้งนั้นแหละครับ
เมื่อไหร่ที่พนักงานที่ทำงานดี
มีความรับผิดชอบสูง รู้ใจ
มอบหมายงานอะไรไปแล้วสบายใจได้ว่าสำเร็จทุกครั้งมายื่นใบลาออกแล้วละก็
ผู้บังคับบัญชาก็ใจหล่นวูบลงไปพักหนึ่งเลยทีเดียว และก็มักจะถ่วงเวลาโดยให้คนเก่ง
ๆ เหล่านั้นกลับไปคิดทบทวนใหม่เสียก่อน ค่อยมายื่นใบลาออกใหม่อีกครั้ง
จากเหตุการณ์ที่ผมยกมานี้
จึงทำให้ผู้บริหารระดับสูงหาแนวทางหรือวิธีการที่จะธำรงรักษาพนักงานที่เรียกได้ว่าเป็นยอดหัวกระทิ
ที่พร้อมจะเป็นผู้บริหารระดับสูง (Top Executive) หรือผู้นำองค์กรในอนาคต (Future
leader) ให้อยู่กับองค์กรและเจริญเติบโตในหน้าที่การงานพร้อมไปกับ
การวางแผนด้านสายความก้าวหน้า ตลอดจนเสริมความรู้และทักษะให้กับยอดหัวกระทิเหล่านั้น
ให้มีความพร้อมและมีความภักดี (Loyalty) ต่อองค์กร ไม่คิดหนีไปไหนง่าย ๆ
จึงเป็นที่มาของคำว่า “Talent
Management” ไงล่ะครับ
Talent Management คืออะไร....
คำว่า “Talent” เมื่อเปิดพจนานุกรมดูเขามักจะแปลคำ ๆ นี้ว่า
หมายถึงบุคคลที่มีความสามารถเป็นพิเศษ นะครับ แต่เมื่อออกเสียงแบบไทย ๆ
แล้วฟังเหมือนเป็น “ทะเล้น” ไปเสียนี่
ถ้าออกเสียงไม่ดีจะกลายเป็นคนละความหมายไปได้นะครับ
ดังนั้น Talent Management
จึงหมายถึงแนวทางในการดูแลพนักงานที่มีศักยภาพ
หรือมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นขององค์กรให้เป็นพิเศษต่างจากพนักงานอื่น ๆ
ทั่วไปไงล่ะครับ
แล้วดูแล Talent อย่างไร
??
ปัจจุบันในหลาย ๆ
องค์กรจะมีวิธีการดูแลพนักงานที่มีความสามารถหรือมีศักยภาพพิเศษนี้แตกต่างกันออกไปครับ
เริ่มตั้งแต่การจัดกลุ่มของพนักงานที่ถือว่าเป็น Talent ,การทดสอบและประเมินผลว่าพนักงานนั้น ๆจะเป็น “ตัวจริง” หรือ “ตัวปลอม” ,การวางแผนพัฒนาพนักงาน “ตัวจริง” เหล่านั้น,การพิจารณาผลตอบแทนต่าง ๆ
ให้กับพนักงาน “ตัวจริง” เหล่านั้น ฯลฯ
ถึงแม้จะมีวิธีการในการดูแลพนักงานกลุ่ม
Talent ที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่ในวัตถุประสงค์หลักใหญ่ ๆ ที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาก็จะคล้ายคลึงกันครับ
เช่น พนักงานที่จะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม
Talent หรือพนักงานที่มีความสามารถหรือมีศักยภาพเป็นพิเศษนั้น
ควรจะมีคุณสมบัติดังนี้
-
มีทัศนคติที่ดีต่อเรื่องต่าง
ๆ เช่น การทำงาน,เพื่อนร่วมงาน,การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ฯลฯ
หรือที่เรียกว่ามี Attitude
หรือมี Positive
thinking นั่นแหละครับ
-
เป็นที่ยอมรับ(Acceptability)ของผู้ใต้บังคับบัญชา
เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา
-
มีความสามารถในการเรียนรู้งาน
(Learn ability)
หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
-
มีคุณสมบัติ
หรือมีลักษณะเด่นอันเป็นประโยชน์ต่องานที่องค์กรคาดหวังและต้องการ
(Competency)
-
มีศักยภาพ
(Potential) ที่สามารถจะเติบโตเป็นผู้บริหารในอนาคต
-
มีผลการปฏิบัติงาน
(Performance) ที่ดีเด่นมาโดยตลอด
ที่ผมวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ข้างท้ายแต่ละตัวน่ะ
ไม่ได้อยากที่จะใช้ภาษาไทยคำฝรั่งคำหรอกนะครับ แต่ที่จำเป็นต้องใส่ไว้เพราะหากท่านอ่านหนังสือต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ท่านจะได้ทราบว่ามีที่มาอย่างไรน่ะครับ เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องต่าง ๆ
เหล่านี้มาจากต่างประเทศทั้งนั้นแหละครับ
ขั้นตอนการทำ
Talent Management
เมื่อทราบถึงคุณสมบัติของพนักงานที่เข้าข่ายที่จะเป็น
Talent ขององค์กรแล้ว
ขั้นต่อมาก็คือการหาว่าใครเป็นพนักงานที่มีความสามารถและมีศักยภาพสูงเหล่านั้น
โดย.....
1.
บางองค์กรจะให้ผู้บังคับบัญชาเสนอรายชื่อพนักงานที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายตามที่ผมได้พูดถึงข้างต้นไปแล้วมายังฝ่ายทรัพยากรบุคคล
เพื่อทำการประมวลผลและตรวจสอบคุณสมบัติว่าพนักงานที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นเข้าข่ายหรือไม่
2.
เมื่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลพิจารณาเสร็จแล้ว
ก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารขององค์กรเพื่อพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้วพนักงานกลุ่มที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็น Talent มักจะมีอย่างมากไม่เกิน 10
เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งองค์กร เรียกว่าต้องผ่านตะแกรงร่อนกันมาจริง ๆ นะครับ
3.
ในหลาย ๆ
องค์กร โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติ (Multi Company) จะมีศูนย์การประเมินผลที่เรียกว่า Assessment Center สำหรับประเมินพนักงานที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่ม Talent
โดยจะให้พนักงานกลุ่มดังกล่าว
ทำแบบทดสอบซึ่งจะวัดผลในประเด็นสำคัญ ๆ เช่น วัดศักยภาพความเป็นผู้นำ (Leadership), บุคลิกภาพ (Personality), การตัดสินใจ (Decision Making) หรือ
การแก้ปัญหาที่ยุ่งยากต่าง ๆ (Problem solving) เป็นต้น เพื่อเป็นการยืนยันว่าพนักงานที่มีผลการทดสอบอยู่ในระดับที่องค์กรต้องการนั้นเป็น
“ตัวจริง” อย่างที่ผมเคยพูดไว้แล้วไงล่ะครับ
4.
สำหรับพนักงานที่ได้รับการเสนอชื่อ
แต่ไม่ผ่านการทดสอบ (พูดง่าย ๆ ว่าสอบตกนั่นแหละครับ)
ก็จะเป็นพนักงานทั่วไปตามปกติ
5.
ส่วนพนักงาน
“ตัวจริง” ที่ผ่านการทดสอบแล้ว
องค์กรถือเป็นพนักงานกลุ่มที่มีความสามารถและศักยภาพสูง
ที่จะต้องมาวางแนวทางในการพัฒนาและทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไปครับ
6.
พนักงานที่มีศักยภาพและมีความสามารถพิเศษเหล่านี้
หลาย ๆ องค์กรยังจะมีการแบ่งกลุ่มออกเป็นแต่ละประเภทอีกนะครับ เช่น
-
กลุ่ม Young
Graduate กลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มพนักงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ไฟแรงที่มีศักยภาพเด่นชัดเกินหน้าเกินตาพนักงานธรรมดาทั่ว
ๆ ไป
-
กลุ่ม Future
Leader กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับการวางตัวว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่อไปในอนาคต
-
กลุ่ม Selected
skill Expert เป็นกลุ่มที่มีความสามารถหรือความชำนาญในเชิงเนื้องานเฉพาะด้านที่ตัวเองดูแลรับผิดชอบอยู่
เช่นพวก Technician แต่อาจไม่มีทักษะในเชิงการบริหารจัดการก็ได้
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพนักงานกลุ่ม
Talent
เมื่อองค์กรได้กลุ่มคนพิเศษที่ดูแล้วคล้าย ๆ
กับพวก X-MEN มาแล้ว ก็จะวางแผนพัฒนา ซึ่งผมขอพูดในหลักใหญ่ ๆ
ที่ทำกันดังนี้ครับ
1.
กำหนดให้เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น
เช่น หลักสูตรด้านการบริหารจัดการ,หลักสูตรด้านทักษะในเนื้องานด้านเทคนิคระดับสูง,การเข้าร่วมสัมมนาหรือเข้าอบรมในต่างประเทศ,การฝึกงานเฉพาะด้านในต่างประเทศ
ฯลฯ
2.
การโอนย้าย
(Job Rotation) หรือสับเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้เรียนรู้งานในหน่วยงานต่าง
ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับความเข้าใจงานในภาพรวมตลอดจนความสัมพันธ์ของงานในองค์กร
3.
จัดทำสายความก้าวหน้าในงาน
(Career development) และทำผังทดแทน
(Succession Plan) โดยกำหนดสายความก้าวหน้าในตำแหน่งงานของพนักงานที่เป็น
Talent แต่ละคนว่าจะใช้เวลาเท่าใดในตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อที่จะก้าวไปยังตำแหน่งต่อไป
ซึ่งการในข้อนี้จะต้องสัมพันธ์กับการโอนย้ายสับเปลี่ยนหน้าที่ตามข้อ 2 ด้วยครับ
4.
มีการดูแลในเรื่องของค่าตอบแทนและสวัสดิการในด้านต่าง
ๆ เช่น โบนัส,การขึ้นเงินเดือน,รถประจำตำแหน่ง
หรือแม้แต่การให้หุ้นของบริษัทที่มากกว่าพนักงานดีเด่นรายอื่น ๆ
เพื่อเป็นแรงจูงใจด้วยทางหนึ่ง
ข้อคิด....ปิดท้าย
มาถึงตรงนี้คงจะพอทำให้ท่านได้เห็นแนวทางในการธำรงรักษาคนพันธุ์พิเศษขององค์กร
ที่องค์กรต่าง ๆ ทั้งไทย และต่างชาติสรรหามาด้วยแนวความคิดที่ว่า
การสร้างคนในองค์กรให้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการระดับสูงนั้น
ย่อมดีกว่าการซื้อคนนอกเข้ามา เพราะหากเราซื้อเขามาด้วยเงิน วันหนึ่งข้างหน้า
เขาอาจจะถูกซื้อไปอยู่องค์กรอื่นด้วยเงินเช่นเดียวกัน
ซึ่งผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการระดับสูงที่เป็นคนใน เป็นเนื้อแท้
หรือเป็นลูกหม้อขององค์กรนั้น
ย่อมจะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าคนนอกใช่ไหมครับ
วันนี้......องค์กรของท่านมีแนวทางในการธำรงรักษาพนักงานที่เก่ง
และดี แล้วหรือยังครับ ????
.............................................................