เมื่อพูดถึงคำว่า “ค่าล่วงเวลา” เราก็มักจะเรียกกันว่า “โอที” หรือ “ค่าโอ” ซึ่งในทางกฎหมายแรงงานหมายถึงการทำงานล่วงเวลา และการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ก็มักจะเรียกรวมเอาเรื่องของค่าทำงานในวันหยุดรวมเข้าไปในความหมายของโอทีด้วย
ในบางบริษัทจะมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้พนักงานด้วยการให้ทำโอทีทุกวัน
ๆ ละกี่ชั่วโมงก็ว่ากันไปทั้ง ๆ ที่ลักษณะงานที่ให้ทำก็ไม่ได้มีความเร่งด่วนฉุกเฉินไม่ทำก็ไม่ได้เกิดความเสียหายอะไร
แถมโอทีก็ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างเพราะเป็นการจ่ายค่าตอบแทนนอกเวลาทำงานปกติเสียอีกก็ยิ่งเข้าล็อคเลยเพราะไม่มีผลผูกพันในการใช้เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ
บริษัทที่มีนโยบายทำนองนี้มักจะมีการจ่ายค่าตอบแทนไม่สูงนัก
แต่จะจูงใจให้คนทำงานให้มากขึ้นเพื่อจะได้ทำให้รายได้สูงขึ้น
หรือไม่ก็แทนที่จะต้องเพิ่มอัตรากำลังให้เหมาะกับโหลดของงาน
แต่ผู้บริหารคิดว่าขืนจ้างคนเพิ่มจะทำให้ต้นทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วยและทางฝั่งพนักงานเองก็อาจจะชอบเพราะมีรายได้เพิ่มขึ้นเรียกว่าสมประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ
เช่น
บริษัทเปิดทำการสัปดาห์ละ 6
วัน หยุดหนึ่งวัน มีชั่วโมงทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
แต่เนื่องจากบริษัทจ่ายเงินเดือนให้พนักงานไม่มากนักหรือไม่อยากจะเพิ่มอัตรากำลังคน
จึงให้พนักงานทำโอทีเพิ่มวันละ 2 ชั่วโมง
สรุปว่าเป็นที่รู้กันทั้งพนักงานและบริษัทว่าพนักงานทุกคนต้องทำงานวันละ
10 ชั่วโมง
ถ้าจะถามว่าบริษัทสามารถทำได้ไหม ?
ก็ตอบได้ว่า “ทำได้” ครับ เพราะถ้าชั่วโมงการทำงานล่วงเวลายังไม่เกิน 36
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ยังไม่ผิดกฎหมายแรงงาน
(ทำงานล่วงเวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละ 6 วัน รวมเป็น 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์)
สมมุติว่าพนักงานเข้างาน 8.00-17.00 น.ต้องทำโอทีต่ออีก 2 ชั่วโมงก็จะเลิกงาน 1 ทุ่ม นี่ถือเป็นขั้นต่ำนะครับ ถ้าบริษัทให้ทำโอทีเต็มแม๊กคือ 6 ชั่วโมงก็จะเลิกงาน 5 ทุ่ม
และต้องทำงานอย่างนี้ทุกวัน ทุกเดือน และตลอดปี ?!?
แล้วคุณภาพชีวิตของพนักงานจะอยู่ที่ไหน ?
แม้ว่าจะมีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วันก็ตาม
แต่มนุษย์นั้นมีร่างกายมีเลือดเนื้อนะครับ ไม่ได้เป็นคนเหล็กมาจากไหน
เขาจะอดทนทำงานแบบนี้ไปได้เท่าไหร่ สุขภาพก็จะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย
ๆ เพราะไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง โดยสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นเงินค่าโอทีที่เขาต้องนำมาจุนเจือเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
ซึ่งก็จะทำได้ในช่วงที่อายุยังไม่มากนักและยังมีเรี่ยวแรงที่จะอึดอดทน
แต่ถ้าอายุมากขึ้นไปเรื่อย
ๆ ล่ะ เขาจะยังทำไหวไหม ?
เงิน....ใคร
ๆ ก็อยากได้หรอกครับ แต่ผู้บริหารที่ดีก็ควรคิดถึงถึงผลระยะยาวเกี่ยวกับสุขภาพ คุณภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ หรือครอบครัวของพนักงานว่าจะเป็นอย่างไร
ผมเคยต่อว่าหัวหน้างานที่สั่งให้ลูกน้องทำโอทีแบบหามรุ่งหามค่ำเป็นชั่วโมงทำงานที่ติดต่อกัน
(นับรวมชั่วโมงทำงานปกติรวมกับชั่วโมงที่ทำโอที) 2-3 วัน
โดยอ้างว่างานเร่ง ลูกค้าต้องการด่วน
ตัวลูกน้องก็อยากได้โอทีและคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยยังสู้ไหวก็ทำงานติดต่อกันแบบไม่หลับไม่นอน
2-3 วัน จนที่สุดเมื่องานส่งมอบให้ลูกค้า ลูกน้องก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านระหว่างทางก็ไปเสยท้ายรถบรรทุกที่จอดข้างทางเพราะหลับใน
ดีนะครับที่ไม่ถึงกับเสียชีวิต
อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้มีชีวิตแต่ที่ทำงานเพียงด้านเดียวนะครับ
พนักงานในบริษัทของท่านยังมีคนที่เขารัก และรักเขารอคอยอยู่ที่บ้านด้วยเหมือนกัน นี่ยังไม่รวมสวัสดิภาพความปลอดภัยในการเดินทางกลับบ้านดึก
ๆ ดื่น ๆ ของพนักงานหญิงนะครับ
ถ้าผู้บังคับบัญชาคิดแต่จะเร่งงานจนลืมคิดถึงความอ่อนล้าของคน
หรือไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยของลูกน้อง คิดแต่เพียงง่าย ๆ
ว่าขอให้งานเสร็จ งานเสร็จเราก็จ่ายเงิน (โอที) ให้
พนักงานก็แฮปปี้เพราะได้เงินมีรายได้เพิ่ม
คิดอย่างนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ
?
แม้ลูกน้องอยากจะมีรายได้เพิ่มจากการทำโอที
แต่ผู้บริหารก็ควรจะต้องมีดุลยพินิจและมีสามัญสำนึกที่เหมาะสมด้วย
จากที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้จึงควรกลับมาทบทวนว่าบริษัทของเรามุ่งลด
Cost เสียจนทำให้จ่ายค่าตอบแทนต่ำกว่าตลาดมากเกินไปหรือไม่
จนทำให้ต้องมาทำให้โอทีเป็นรายได้
ในอนาคตบริษัทของเราจะมีพนักงานที่กรอบเพราะทำงานหนักจนเกินไปหรือไม่
เราจะมีแต่พนักงานขี้โรคสุขภาพย่ำแย่ที่ขาดความสามารถจะเติบโตไปกับองค์กรในอนาคตหรือไม่
พนักงานจะมีปัญหาครอบครัวเพิ่มขึ้นเพราะมัวแต่ทำโอทีแล้วไม่มีเวลาดูแลครอบครัวจนในที่สุดปัญหาครอบครัวก็จะลามมาถึงที่ทำงานหรือไม่
เพรา Work Life Balance ยังเป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่จะรักษาคนเอาไว้ให้อยู่กับองค์กรครับ