คนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนต้องคุ้นเคยรู้จักคำว่าเงินเดือนกันเป็นอย่างดีเพราะเป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับทุกเดือน
บางบริษัทก็จ่ายเงินเดือนเพียงอย่างเดียว
แต่บางบริษัทก็จ่ายเงินเดือนบวก “สารพัดค่า”
สารพัดค่าคืออะไร ?
สารพัดค่าคือชื่อที่ผมเรียกขึ้นมาเองนะครับไม่ได้อ้างอิงตำราไหนทั้งสิ้น
ที่เรียกสารพัดค่าเพราะว่านอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว
บริษัทยังจ่ายค่าอื่น ๆ อีกหลายตัวซึ่งใช้ชื่อเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง เช่น
ค่าครองชีพ, ค่าตำแหน่ง, ค่าภาษา, ค่าวิชาชีพ, ค่ากะ, ค่าเบี้ยขยัน, ค่าน้ำมัน, ค่ารถ,
ค่าโทรศัพท์มือถือ, ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ
บางบริษัทก็จ่ายเงินเดือนให้พนักงานอย่างเดียว
100 เปอร์เซ็นต์
บางบริษัทก็จ่ายเงินเดือนต่อสารพัดค่า
70/30
บ้าง 80/20 บ้าง
ก็ว่ากันไปตามนโยบายของแต่ละบริษัท
ปัญหามาเกิดตรงที่ในกฎหมายแรงงานจะมีแต่คำว่า
“ค่าจ้าง” ไม่มีคำว่า “เงินเดือน” น่ะสิครับ
หรือสรุปได้ว่า
“เงินเดือนคือค่าจ้าง แต่ค่าจ้างไม่ได้มีเฉพาะเงินเดือน”
เรามาดูกันนะครับว่าระหว่างการจ่ายเงินเดือน
100 เปอร์เซ็นต์กับการจ่ายเงินเดือนบวกสารพัดค่ามีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง
การจ่ายเงินเดือนอย่างเดียว
100
เปอร์เซ็นต์
ข้อดี
1.
เข้าใจง่าย, การบริหารจัดการเงินเดือนไม่ซับซ้อน
2.
ลดปัญหาความผิดพลาดในการบริหารจัดการเงินเดือน
เช่น การใช้เงินเดือนเป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย เช่น คำนวณค่าโอที, ค่าชดเชย,
ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า, เงินสมทบส่งประกันสังคม เป็นต้น
ข้อเสีย
1.
บริษัทมี Staff Cost สูงกว่าการจ่ายเงินเดือน+สารพัดค่า
เพราะต้องใช้เงินเดือนเป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ทุกเรื่อง
2.
พนักงานอาจเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นว่าทำไมเขามีค่าโน้นค่านี้
แต่ทำไมเราถึงไม่มี ก็เลยจะเกิดความรู้สึกว่าบริษัทของเราจ่ายน้อยกว่าคนอื่น
แต่ไม่ได้ดูว่าฐานเงินเดือนของเราสูงกว่าคนอื่น เพราะสัจธรรมของคนคือมักจะเอาสิ่งที่ตัวเองไม่มีไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนอื่นเขามี
แต่จะไม่เอาสิ่งที่เรามีไปเทียบกับสิ่งที่คนอื่นเขาไม่มี
การจ่ายเงินเดือน+สารพัดค่า
ข้อดี
1.
บริษัทสามารถกดเงินเดือนให้ต่ำกว่าคู่แข่งได้
แล้วเปลี่ยนเอาไปใส่ไว้ในสารพัดค่าแทนเพื่อลด Staff Cost ลงได้
2.
พนักงานรู้สึกว่าบริษัทให้รายได้อื่นมากกว่าให้เงินเดือนเพียงอย่างเดียวทำให้รู้สึกว่าเราได้รับเงินมากกว่าบริษัทอื่น
ข้อเสีย
1.
การจ่ายเงินเดือน+สารพัดค่าที่ไม่ได้วางอัตราส่วนอย่างเหมาะสมก็อาจทำให้ไม่สามารถรักษาคนในและจูงใจคนนอกให้อยากเข้ามาร่วมงานได้
อาจเกิดสถานการณ์คนในไหลออก คนนอกไม่อยากมา
2.
มีความเสี่ยงที่จะบริหารค่าจ้างเงินเดือนผิดกฎหมายแรงงานโดยไม่นำสารพัดค่าบางตัวที่เข้าข่าย
“ค่าจ้าง” เข้ามารวมเป็นฐานในการคำนวณโอที, ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า,
เงินสมทบส่งประกันสังคม ซึ่งทำให้เกิดการร้องเรียน, ฟ้องร้อง
ทำให้บริษัทแพ้คดีหรือเสียค่าปรับในที่สุด
เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก็คงขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของแต่ละบริษัทแหละครับว่าจะมีนโยบายในการจ่ายค่าตอบแทนยังไงถึงจะเหมาะสม
ซึ่งไม่มีถูกไม่มีผิดเพราะแต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อเสียที่ต้องคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนคือต้องมีความเสมอภาคและเป็นธรรม
สามารถแข่งขันกับตลาดได้ และบริษัทมีขีดความสามารถในการจ่ายได้ครับ