เมื่อบริษัทรับผู้สมัครเข้ามาเป็นพนักงานก็ต้องมีการทดลองงานกันซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะมีระยะเวลาไม่เกิน 120 วัน เราท่านก็จะเห็นเป็นเรื่องปกติทั่วไป
ระหว่างทดลองงานบริษัทก็ต้องดูว่าพนักงานทดลองงานมีพฤติกรรมการทำงานเป็นยังไงบ้าง
สามารถเรียนรู้งานได้ดีไหม มีความรับผิดชอบงานเป็นยังไง ฯลฯ ถ้าบริษัทไหนมีแผนการสอนงานน้องใหม่ที่ดีอยู่แล้วก็จะพบว่ามีการประเมินผลการทำงานและวัดผลน้องใหม่ได้อย่างเป็นระบบเป็นรูปธรรมเมื่อแจ้งผลกับน้องใหม่ก็มักจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากมายนักเพราะมี
Document
Support มีเหตุผลรองรับที่ชัดเจน
ส่วนบริษัทที่ไม่มีแผนการสอนงานน้องใหม่
แถมเอางานที่คั่งค้างไว้จากคนเก่าที่ลาออกไปมาโปะใส่น้องใหม่
แล้วก็มีคนที่ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นพี่เลี้ยงหรือผู้สอนงานมาชี้ ๆ สั่ง ๆ บอก ๆ
ด้วยเสียงดุ ๆ ให้น้องใหม่เคลียร์งานที่คั่งค้างตามสั่งแล้วคิดว่าเป็นการสอนงานก็มีหวังเจอดราม่าสารพัดจากการทำงานแบบมวยวัดแบบนี้
ผมขอข้ามเรื่องการสอนงานแบบมวยวัดไปก็แล้วกันนะครับเพราะเคยพูดเอาไว้หลายครั้งแล้ว
ขอข้ามตัดตอนมาถึงตอนที่สมมุติว่าน้องใหม่ไม่ผ่านทดลองงานเลยก็แล้วกัน
เมื่อพนักงานไม่ผ่านทดลองงานก็ต้องเป็นหน้าที่ของหัวหน้าที่จะต้องเชิญน้องใหม่มาแจ้งผลว่าไม่ผ่านและก็ต้องพูดให้จบกันด้วยดี
วิธีการแจ้งแบบนี้ก็จะเรียกว่าเป็นการบอกกล่าวล่วงหน้า
เช่น หัวหน้าเรียกพนักงานทดลองงานมาแจ้งวันที่
31 กค.ว่าไม่ผ่านทดลองงาน และบริษัทจะเลิกจ้างโดยจะให้มาทำงานไปจนถึง 31
สค.แล้วบริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้จนถึงวันสุดท้ายที่มาทำงาน
วิธีนี้แหละที่เรียกว่า
“การบอกกล่าวล่วงหน้า” คือบอกพนักงานล่วงหน้า 1 รอบการจ่ายค่าจ้างว่าบริษัทจะไม่จ้างเธออีกต่อไปแล้วนะ
และให้เธอมาทำงานถึงสิ้นเดือนแล้วบริษัทก็จ่ายเงินเดือนงวดสุดท้ายให้
ตรงนี้แหละที่ผมอยากจะให้ข้อคิดอย่างนี้
ลองคิดถึง
“ใจเขา-ใจเรา” ดูสิครับ สมมุติหัวหน้ามาบอกว่าเราไม่ผ่านทดลองงาน บริษัทจะเลิกจ้างเราแต่จะให้เราทำงานไปอีกประมาณ
1
เดือน แม้บริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้ ถามว่าเรายังอยากจะมาทำงานให้ครบ
1 เดือนไหม ?
บริษัทบางแห่งก็อยากจะใช้พนักงานให้คุ้มค่าเงินทุกเม็ดโดยไม่ได้นึกถึง
“ใจเขา-ใจเรา”
คือไหน ๆ บริษัทก็ต้องจ่ายค่าจ้างเต็มเดือนอยู่แล้วพนักงานก็ต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้างสิ
ก็จะทำให้พนักงานที่ไม่ผ่านทดลองงานบางคน
“เอาคืน” โดยมักจะลาป่วย (ไม่จริง) บ้าง มาสายบ้าง หรือมา ๆ ขาด ๆ
สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้กับหัวหน้าผู้บริหารที่จะต้องมาคิดแก้ปัญหาด้วยการออกหนังสือตักเตือนพนักงานที่บริษัทเลิกจ้างไปแล้วกันอีก
หรือแย่กว่านั้นอาจจะทำให้บริษัทเสียหาย
(โดยบริษัทไม่รู้ตัว) เช่น ลักลอบเอาไฟล์ข้อมูลสำคัญของลูกค้าออกไป
หรือสร้างความเสียหายอื่น ๆ กับบริษัทก็มีให้เห็นมาแล้ว
นี่แหละครับผลของการเสียน้อยเสียยาก..เสียมากเสียง่าย
ตรงนี้คงต้องไปคิดกับเอาเองแล้วล่ะครับว่าบริษัทควรใช้วิธีไหนดีกว่ากันระหว่างการจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าแบบเจ็บแต่จบ
หรือจะใช้วิธีบอกกล่าวล่วงหน้า 1 งวดการจ่ายค่าจ้างแล้วให้พนักงานทดลองงานทำงานต่อไปอีกประมาณ
1 เดือนพร้อมกับลุ้นว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาภายหลังอีกหรือไม่
แต่สำหรับบริษัทที่มีระบบแผนการสอนงานที่มีมาตรฐาน
เป็นมืออาชีพ มีหัวหน้าที่เอาใจใส่ติดตามผลการทำงานของน้องใหม่อย่างสม่ำเสมอ มีการ
Feedback
พูดคุยกับน้องใหม่เป็นระยะแบบตรงไปตรงมาและให้โอกาสน้องใหม่ในการปรับปรุงตัวเอง
แล้วในที่สุดน้องใหม่ก็ไม่ผ่านทดลองงาน
เวลาแจ้งผลก็มักจะลงเอยด้วยดีและหาข้อสรุปร่วมกันได้ว่าจะจบกันด้วยดีแบบไหน
ส่วนบริษัทที่มีหัวหน้าที่ทำงานแบบมวยวัด
ไม่เคยมีแผนการสอนงานน้องใหม่อย่างที่ผลเล่ามาข้างต้นไม่เคยพูดคุย Feedback น้องใหม่อะไรทั้งนั้นแต่เรียกมาบอกในวันที่ 119 ว่าให้เขียนใบลาออกไปซะ
ก็มีหวังต้องเจอปัญหาดราม่าตามมาสารพัดแหละครับ