วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วิธีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบแบ่งปรับ

             ช่วงเวลานี้เราท่านต่างก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก 2 วิกฤติใหญ่ ๆ ที่มาจากโควิดและเรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดเงินเฟ้อในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ทำให้ราคาน้ำมันและข้าวของราคาสินค้าก็แพงขึ้นมาทันใด จนกระทั่งมีการเปรียบเปรยว่าทุกอย่างขึ้นหมดยกเว้นค่าแรง

            ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผู้เกี่ยวข้อง (โดยหลักการคือไตรภาคีคือตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ) ก็คงพูดคุยตกลงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำกันอยู่ว่าจะออกมาเป็นตัวเลขไหนถึงจะทำให้ทั้งลูกจ้างรับได้และนายจ้างก็รับไหว

            แน่นอนแหละครับว่าฝ่ายลูกจ้างก็อยากจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำมากเอาไว้ก่อนในขณะที่ฝ่ายนายจ้างก็กลัวว่าถ้าปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำมากเกินไปก็จะทำให้รับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวเลวร้ายสุดก็อาจจะต้องถึงปิดกิจการหรือบางรายก็อาจจะต้องย้ายฐานการผลิต

            ผมเก็บตัวเลขสถิติค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลัง 13 ปี ตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2563 (ตามข้อมูลด้านล่าง) จะพบว่าส่วนใหญ่เราจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำประมาณปีละครั้งมาโดยตลอด จะมีในปี 2551 ที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 2 ครั้งห่างกัน 6 เดือน

            สำหรับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ผมก็เลยทำตัวอย่างมาให้ดูเผื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องจะนำไปประกอบการพิจารณาถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์และทำให้ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างยังสามารถทำงานร่วมกันเพื่อฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันตามภาพด้านล่างนี้ครับ


          จากภาพนี้ผมสมมุติว่าเราตกลงว่าจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น 10%

            ถ้าปรับแบบครั้งเดียว 10% ก็จะมีผลกระทบตามตารางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบ 1 ครั้งต่อปี ซึ่งจะเกิดผลกระทบกับฝ่ายผู้ประกอบการคือมีผลทำให้ Staff Cost ในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นแบบทันทีที่มีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบด้าน Staff Cost จากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับผู้ประกอบการมีมากกว่า 10% แต่จะมากกว่าเท่าไหร่ก็แล้วแต่การลงไปในรายละเอียดด้าน Staff Cost ของแต่ละราย

            แต่ถ้าเราเลือกวิธีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบแบ่งปรับคือ

1.      ครั้งแรกปรับ 3% ก่อน

2.      ครั้งที่สองปรับ 4% โดยห่างจากการปรับครั้งแรก 6 เดือน

3.      ครั้งที่สามปรับ 3% โดยห่างจากการปรับครั้งที่สอง 6 เดือน

รวมสามครั้งปรับ 10% ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาที่จะปรับตัวได้ดีกว่าการปรับไปรวดเดียว 10% 

ทำไมผมยกตัวอย่างการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ 10% ?

ตอบได้ว่าการปรับค่าจ้างแบบแบ่งปรับมักจะใช้เพื่อลดผลกระทบในกรณีที่องค์กรมีความจำเป็นต้องปรับเงินเดือนให้กับพนักงานในเปอร์เซ็นต์สูง ๆ ครับ

เพราะถ้าปรับไปรวดเดียวเลยองค์กรก็รับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทันทีไม่ไหวเหมือนกัน ก็เลยต้องใช้วิธีแบ่งปรับหรือปรับเป็นขยักเพื่อให้องค์กรมีเวลาปรับตัวรับการ Staff Cost ที่เพิ่มขึ้นจะได้หายใจหายคอได้สะดวกขึ้น

ผมเปรียบเสมือนถ้าเราต้องการขึ้นไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาแหละครับ ถ้าทำบันไดให้เดินขึ้นไปรวดเดียว 3,000 ขั้นตรงดิ่งขึ้นไปโดยไม่มีชานพักระหว่างทาง บางทีคนที่มีศรัทธาก็อาจจะหน้ามืดกลางทางและน็อคไปเสียก่อน

แต่ถ้าทำบันไดขึ้นไปเป็นขยักเป็นสเต็ป มีชานพักระหว่างทางก็จะทำให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มีช่วงหยุดพักเหนื่อยหายใจหายคอได้คล่องเสียหน่อยจะได้มีแรงเดินขึ้นต่อไปได้

ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ

แต่ถ้าเป็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นเปอร์เซ็นต์ไม่สูงเช่นไม่เกิน 5% ก็ไม่จำเป็นต้องมาแบ่งเป็นขยักอย่างที่ผมเล่ามาข้างต้นนะครับ

ถ้าเห็นว่าความคิดเห็นนี้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและทำให้ WIN-WIN กันได้ก็แชร์ไปได้เลยนะครับไม่ต้องขออนุญาต