ช่วงเวลานี้เราท่านต่างก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก 2 วิกฤติใหญ่ ๆ ที่มาจากโควิดและเรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดเงินเฟ้อในบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ทำให้ราคาน้ำมันและข้าวของราคาสินค้าก็แพงขึ้นมาทันใด จนกระทั่งมีการเปรียบเปรยว่าทุกอย่างขึ้นหมดยกเว้นค่าแรง
ซึ่งผมก็เข้าใจว่าผู้เกี่ยวข้อง
(โดยหลักการคือไตรภาคีคือตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ) ก็คงพูดคุยตกลงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำกันอยู่ว่าจะออกมาเป็นตัวเลขไหนถึงจะทำให้ทั้งลูกจ้างรับได้และนายจ้างก็รับไหว
แน่นอนแหละครับว่าฝ่ายลูกจ้างก็อยากจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำมากเอาไว้ก่อนในขณะที่ฝ่ายนายจ้างก็กลัวว่าถ้าปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำมากเกินไปก็จะทำให้รับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ไหวเลวร้ายสุดก็อาจจะต้องถึงปิดกิจการหรือบางรายก็อาจจะต้องย้ายฐานการผลิต
ผมเก็บตัวเลขสถิติค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลัง
13 ปี ตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2563
(ตามข้อมูลด้านล่าง)
จะพบว่าส่วนใหญ่เราจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำประมาณปีละครั้งมาโดยตลอด จะมีในปี 2551
ที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 2 ครั้งห่างกัน 6
เดือน
สำหรับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ผมก็เลยทำตัวอย่างมาให้ดูเผื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องจะนำไปประกอบการพิจารณาถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์และทำให้ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้างยังสามารถทำงานร่วมกันเพื่อฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันตามภาพด้านล่างนี้ครับ
จากภาพนี้ผมสมมุติว่าเราตกลงว่าจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น
10%
ถ้าปรับแบบครั้งเดียว
10% ก็จะมีผลกระทบตามตารางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบ 1 ครั้งต่อปี
ซึ่งจะเกิดผลกระทบกับฝ่ายผู้ประกอบการคือมีผลทำให้ Staff Cost ในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นแบบทันทีที่มีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบด้าน Staff Cost จากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับผู้ประกอบการมีมากกว่า
10% แต่จะมากกว่าเท่าไหร่ก็แล้วแต่การลงไปในรายละเอียดด้าน Staff
Cost ของแต่ละราย
แต่ถ้าเราเลือกวิธีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบแบ่งปรับคือ
1.
ครั้งแรกปรับ 3% ก่อน
2.
ครั้งที่สองปรับ 4% โดยห่างจากการปรับครั้งแรก
6 เดือน
3.
ครั้งที่สามปรับ 3% โดยห่างจากการปรับครั้งที่สอง
6 เดือน
รวมสามครั้งปรับ 10% ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาที่จะปรับตัวได้ดีกว่าการปรับไปรวดเดียว
10%
ทำไมผมยกตัวอย่างการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่
10% ?
ตอบได้ว่าการปรับค่าจ้างแบบแบ่งปรับมักจะใช้เพื่อลดผลกระทบในกรณีที่องค์กรมีความจำเป็นต้องปรับเงินเดือนให้กับพนักงานในเปอร์เซ็นต์สูง
ๆ ครับ
เพราะถ้าปรับไปรวดเดียวเลยองค์กรก็รับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทันทีไม่ไหวเหมือนกัน
ก็เลยต้องใช้วิธีแบ่งปรับหรือปรับเป็นขยักเพื่อให้องค์กรมีเวลาปรับตัวรับการ Staff Cost ที่เพิ่มขึ้นจะได้หายใจหายคอได้สะดวกขึ้น
ผมเปรียบเสมือนถ้าเราต้องการขึ้นไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาแหละครับ
ถ้าทำบันไดให้เดินขึ้นไปรวดเดียว 3,000 ขั้นตรงดิ่งขึ้นไปโดยไม่มีชานพักระหว่างทาง
บางทีคนที่มีศรัทธาก็อาจจะหน้ามืดกลางทางและน็อคไปเสียก่อน
แต่ถ้าทำบันไดขึ้นไปเป็นขยักเป็นสเต็ป
มีชานพักระหว่างทางก็จะทำให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มีช่วงหยุดพักเหนื่อยหายใจหายคอได้คล่องเสียหน่อยจะได้มีแรงเดินขึ้นต่อไปได้
ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ
แต่ถ้าเป็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เป็นเปอร์เซ็นต์ไม่สูงเช่นไม่เกิน
5% ก็ไม่จำเป็นต้องมาแบ่งเป็นขยักอย่างที่ผมเล่ามาข้างต้นนะครับ
ถ้าเห็นว่าความคิดเห็นนี้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและทำให้
WIN-WIN
กันได้ก็แชร์ไปได้เลยนะครับไม่ต้องขออนุญาต