MIN และ MAX
จากภาพตัวอย่างด้านล่างหมายถึงทุกตำแหน่งงานที่อยู่ใน
Job Grade นี้จะได้รับเงินเดือน
12,000 บาท และไม่เกิน 24,000 บาท
เพราะต้องรับผิดชอบงานในค่างานเท่ากันจึงมีคะแนนจากการประเมินค่างานอยู่ใน Job
Grade เดียวกัน !
หลักที่เกี่ยวกับ Min ก็คือเวลาที่จะตกลงรับคนเข้าทำงานในตำแหน่งใดก็ตามใน
Job Grade นี้ บริษัทจะต้องจ้างไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท แม้ว่าผู้สมัครอาจจะขอเงินเดือนต่ำกว่า 12,000 บาทก็ตาม
ไม่ใช่ว่าผู้สมัครขอน้อยก็ให้น้อยนะครับ !
เพราะโครงสร้างเงินเดือนที่ทำมาใช้นี้เราก็ต้องคิดมาดีแล้วว่าทุกตำแหน่งใน
Job Grade นี้ควรจะต้องมีอัตราเงินเดือน
Starting Rate ไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท
ถ้าเราไปให้เงินเดือนผู้สมัครงานต่ำกว่านี้ก็จะมีแนวโน้มว่าผู้สมัครอาจจะทำงานอยู่กับเราไม่นานแล้วก็จะลาออกไปเพราะอัตราการจ้างของเราต่ำกว่า
Min ซึ่งหมายถึงจะต่ำกว่าราคาที่ตลาดเขาจ่ายกันมากเกินไปครับ
ดังนั้นคนที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งใดก็ตามที่อยู่ใน
Job Grade นี้จึงจะได้รับเงินเดือนอยู่ในระหว่าง
12,000 ถึง 24,000 บาท
ถ้าใครขาดความสามารถขาดศักยภาพไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นไปอยู่ใน
Job Grade ที่สูงขึ้นเพื่อรับผิดชอบงานในค่างานที่สูงมากไปกว่านี้ได้ก็จะต้องยอมรับและเตรียมใจเอาไว้ว่าเงินเดือนจะต้องตันที่อัตรา
24,000 บาทครับ
MIDPOINT
ค่ากลางคืออะไร ?
ค่ากลางก็คือค่าที่อยู่กึ่งกลางกระบอกเงินเดือนน่ะสิครับ
ตอบซะแบบกำปั้นทุบดินกันไปเลย
สูตรการหาค่ากลางง่าย
ๆ ก็คือ Max+Min หาร
2
เช่นตามตัวอย่างข้างข้างล่างนี้
ค่ากลาง=24,000+12,000 หาร 2 =
18,000 บาท
หลักการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนเราควรจะออกแบบแต่ละกระบอกให้มีค่ากลางอยู่ประมาณใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ตลาดเขาจ่ายให้กับตำแหน่งต่าง
ๆ ใน Job Grade นั้น ๆ
ซึ่งคนทำโครงสร้างเงินเดือนจะต้องไป
Match Job ให้ดี ๆ แล้วหาค่าเฉลี่ยของตลาดออกมาให้ได้ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
เช่นในกรณีนี้ก็หมายความว่าตลาดเขาจ่ายเงินเดือน
(Base Salary) ให้กับตำแหน่งต่าง ๆ ที่อยู่ใน Job Grade นี้ประมาณ 18,000
บาทครับ
อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าเฉลี่ยตลาดได้บ้างแต่ค่ากลางที่ออกแบบในแต่ละกระบอกก็มักอยู่ประมาณแถว
ๆ ค่าเฉลี่ยของตลาดนั่นแหละครับ
จึงพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า....
ค่ากลาง
(Midpoint) เป็นค่าที่ยุติธรรมหรือเป็นค่าที่เสมอภาคและเป็นธรรมในการจ้างคนเข้ามาทำงานใน
Job Grade นี้ เพราะตลาดเขาก็จ่ายกันอยู่ประมาณนี้แหละ
ถ้าดูจากตัวอย่างนี้ก็คือใครก็ตามที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งใดใน
Job Grade นี้แล้วได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 18,000 บาท
ก็หมายถึงคน ๆ นั้นทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่สมราคา
ในขณะที่บริษัทก็จ่ายเงินเดือนให้กับคน
ๆ นี้อย่างยุติธรรมแล้วเช่นเดียวกัน เพราะตลาดภายนอกโดยทั่ว ๆ
ไปเขาก็จ่ายกันอยู่ประมาณ 18,000 บาท
เรียกว่าการจ่ายเงินเดือนที่ค่ากลางนั้น
ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง !!
เป็นราคาที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
หรือทางเศรษฐศาสตร์อาจจะเรียกว่าเป็น “ราคาดุลยภาพ” หรือ “Equilibrium Price” ก็ได้ครับ
แล้วถ้าใครที่ได้รับเงินเดือนต่ำกว่าค่ากลางก็แปลว่าบริษัทเอาเปรียบเขาอยู่หรือเปล่า
?
เช่นสมมุติตอนนี้มีพนักงานที่อยู่ในกระบอกเงินเดือนนี้รับเงินเดือนอยู่ที่
12,000 บาท
ก็หมายถึงว่าพนักงานคนนี้อาจจะยังมีความรู้
ทักษะหรือมีประสบการณ์ในงานที่ทำยังไม่เท่ากับคนที่ได้เงินเดือน 18,000 บาท บริษัทก็เลยเห็นสมควรที่จะให้เงินเดือนที่ 12,000 บาท (เท่ากับ Min ใน Job Grade นี้)
ซึ่งเมื่อพนักงานคนนี้พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ความสามารถในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
มีผลงานที่ดีขึ้นมากขึ้นก็จะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนต่อไปได้เรื่อย ๆ
จนไปสูงสุดไม่เกิน 24,000 บาท
แม้ว่าพนักงานคนนี้จะได้รับเงินเดือน
12,000 บาทอยู่ก็จริง
แต่งานและความรับผิดชอบหรือค่างานในตำแหน่งที่พนักงานคนนี้ทำอยู่จะต้องรับผิดชอบเหมือนกับคนที่ได้เงินเดือน
24,000 บาทครับ
เพราะถือว่าทุกตำแหน่งในกระบอกเงินเดือนนี้อยู่ใน Job Grade ที่มีค่างานเดียวกัน
ดังนั้น
ถ้ามองในมุมนี้ก็จะดูเหมือนว่าบริษัทจะได้เปรียบพนักงานคนนี้อยู่เพราะใช้งานเขาเต็มที่เหมือนกับจ้าง
24,000 บาท
แต่จ่ายเพียง 12,000 บาท
ซึ่งก็จะมีศัพท์เทคนิคเรียกการจ่ายแบบนี้ว่าบริษัทจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนี้
“ต่ำกว่า” ที่ตลาดเขาจ่ายกัน หรือ “Under Paid” ครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจ่ายต่ำมากจนเกินไปเพราะกรอบการจ่ายของตำแหน่งต่าง
ๆ ใน Job Grade นี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท
ซึ่งก็หมายถึงในตลาดเขาก็จ่ายกันประมาณนี้เช่นเดียวกัน
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะไปจ้างให้คนทุกคนที่มาทำงานใน
Job Grade นี้ได้เงินเดือนเท่ากันที่ Midpoint ใช่ไหมล่ะครับ ?
เนื่องจาก
Performance ของแต่ละคนไม่เท่ากันนี่นา บางคนมีผลงานมีฝีมือมีความรู้ความสามารถ ก็อาจจะได้เงินเดือนสูงกว่าคนที่มีความรู้ความสามารถน้อยกว่าเป็นธรรมดาของการจ้าง
แต่บริษัทก็ไม่ได้จ้างแบบกดเงินเดือนต่ำจนพนักงานรับไม่ได้
ซึ่งนั่นก็คือการกำหนดอัตราจ้างต่ำสุดของ Job Grade นี้เพื่อรองรับเอาไว้ในที่นี้ก็คือ Min
เท่ากับ 12,000 บาท
ถ้าบริษัทไหนไปจ้างใครที่ทำงานใน
Job Grade นี้ต่ำกว่า Min ก็แสดงว่าบริษัทนั้นไปเอาเปรียบเขามากจนเกินงามแล้วล่ะ
ในทางกลับกัน
ถ้าบริษัทจ้างพนักงานตำแหน่งใดก็ตามใน Job Grade นี้สูงกว่าค่ากลาง เช่น จ้างอยู่ที่ 23,500
บาท ก็หมายถึงบริษัทจ่ายเงินเดือนให้แพงกว่าที่ตลาดเขาจ่ายกันโดยเฉลี่ย
(เกิน MIDPOINT ที่ 18,000 บาทตามตัวอย่าง)
ในขณะที่พนักงานคนนี้ทำงานให้กับบริษัทไม่คุ้มกับที่บริษัทจ่ายให้เขา
การจ่ายแพงกว่าที่ตลาดเขาจ่ายกันนี่ก็เรียกเป็นศัพท์เทคนิคว่า
“Over Paid”
หรือจ่ายแพงเกินไป
ถ้าบริษัทจ่ายแบบ
Over Paid ให้กับพนักงานที่ทำงานใน Job Grade นี้มานาน
ทำงานเหมือนเดิม ความรับผิดชอบเท่าเดิม
แต่ไม่สามารถจะเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นไปอยู่ใน Job Grade ที่สูงขึ้นต่อไปอีกได้
บริษัทก็จำเป็นที่จะต้องควบคุมเพดานเงินเดือนเอาไว้ไม่ให้สูงมากเกินไปในกรณีนี้คือเงินเดือนที่
Max เท่ากับ
24,000 บาท
แปลว่าพนักงานคนนี้จะได้รับการปรับฐานเงินเดือนขึ้นไปอีกได้ไม่เกิน
500 บาท
และถ้าพนักงานไม่สามารถจะพัฒนาตนเองให้เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มงานและความรับผิดชอบให้ขึ้นไปอยู่ใน
Job Grade ต่อไปได้ก็ต้องยอมรับว่าเงินเดือนของตัวเองจะต้องตัน
!
เพราะค่าของงาน
(Job Value) ใน Job Grade นี้มีอยู่เพียงเท่านี้
ถ้ามองอย่างเป็นกลาง
ลองคิดย้อนกลับมาว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ
เราจะขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานที่ทำงานเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ
โดยที่พนักงานคนนั้นก็ทำงานแบบนี้มาหลายปีแล้วก็ยังทำอยู่แบบนั้น
ไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ทำงานได้มากขึ้น
ขาดความรู้ความสามารถที่จะรับผิดชอบงานที่มีค่างานสูงขึ้น
ไม่สามารถเติบโตก้าวหน้าได้ต่อไป อยู่ในตำแหน่งไหนก็อยู่แบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนเกษียณ
แต่บริษัทจะต้องปรับขึ้นเงินเดือนไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ ?
อย่างนี้บริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือน
(และ Staff Cost อื่น ๆ ที่คิดจากฐานเงินเดือนเช่น ค่าล่วงเวลา, เงินสมทบ
Provident Fund, เงินสมทบประกันสังคม, กองทุนเงินทดแทน)
เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ และไม่รู้จะไปสิ้นสุดตรงไหน
แล้วถ้าพนักงานคนอื่น
ๆ เห็นแล้วเอาเป็นตัวอย่างทำแบบเดียวกัน
คือฉันขอทำงานเหมือนเดิมไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรให้มากไปกว่านี้
แต่จะเรียกร้องให้ปรับขึ้นเงินเดือนเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทุกปีอย่างนี้บริษัทจะสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้หรือไม่ล่ะครับ
ทั้งหมดนี้คือความสำคัญว่าเหตุใดโครงสร้างเงินเดือนถึงต้องมีค่า
MIN MAX และ
MIDPOINT ครับ