ผมเห็นเรื่องนี้เป็นกระทู้หนึ่งที่น่าสนใจในโลกออนไลน์ก็เลยอยากเอามาแชร์เล่าสู่กันฟังเผื่อจะเป็นข้อคิดเตือนใจสำหรับ HR และฝ่ายบริหารนำกลับไปทบทวนดูว่าเราควรจะปรับปรุงแก้ไขเรื่องนี้ยังไงต่อไป
เป็นเรื่องปกติของหลายบริษัทที่มักจะจัดทริปท่องเที่ยวให้กับพนักงานประจำปี
ซึ่งวัตถุประสงค์หลัก ๆ
ก็คืออยากให้พนักงานได้ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานกันมาทั้งปี
และถือเป็นการตอบแทนที่ให้กับพนักงาน
(สำหรับบริษัทที่ออกค่าใช้จ่ายในการไปทริปนี้ทั้งหมด)
พูดง่าย ๆ
คือวัตถุประสงค์ก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ทำไมพนักงานถึงยังไม่อยากไปเที่ยวล่ะ ?
ผมก็เลยขอนำ Feedback ของคนที่ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมในเรื่องนี้มาให้ดูดังนี้
1.
บริษัทชอบจัดในวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์)
เพื่อไม่ให้กระทบกับงาน แต่พนักงานหลายคนมีภาระครอบครัว ต้องพาลูกไปเรียนพิเศษ,
ซักผ้า, ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ
2.
วันอาทิตย์กลับมาถึงที่บ้านก็ค่ำมากแล้ว
วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ต้องทำงานต่อทำให้ไม่พร้อมในการทำงานเพราะเพลียจากการเดินทาง
3.
การไปเที่ยวกับบริษัทไม่เหมือนการไปพักผ่อน
เพราะมีเจ้านาย, มีเพื่อนร่วมงานที่อาวุโส ที่ต้องคอยเกรงใจ
ต้องคอยระมัดระวังตัวเองไม่ให้ถูกหัวหน้ามองด้วยสายตาไม่ดี
ยิ่งบริษัทไหนที่ผู้บริหารมี Gap กับพนักงานมาก ๆ
ทำให้พนักงานยิ่งเกร็งและไม่รู้สึกว่ามาเที่ยวมาพักผ่อน
4.
มีกิจกรรมที่บังคับคนให้มาทำ เช่น
บังคับให้ออกมาเต้นไก่ย่างถูกเผาโดยที่คนไม่อยากออกมาทำกิจกรรรม
หรือไม่อยากเล่นเกมเหล่านั้น เพราะคนไปเที่ยวก็อยากพักผ่อนจริง ๆ อยากทำตัวตามสบาย
แต่กลับต้องมาถูกบังคับให้ทำกิจกรรมที่ไม่อยากทำ
ถ้าไม่เข้าร่วมกิจกรรมหัวหน้าก็จะมองว่าเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี
5.
บอกว่ามาพักผ่อนแต่กลับมีการจัดอบรม
สัมมนากันอีกครึ่งวันหรือหนึ่งวันแล้วทุกคนต้องเข้าอบรม หรือไม่งั้น CEO ก็จะมาพูดเรื่องเป้าหมายการดำเนินงาน
พูดเรื่องนโยบาย ฯลฯ ตกลงเป็นการมาพักผ่อนหรือมาสัมมนาวิชาการกันแน่
6.
บางบริษัทจัดวันธรรมดา (เช่นวันศุกร์)
แต่บังคับให้เป็นวันลาพักร้อน ทำให้พนักงานไม่อยากไปเที่ยวเพราะเสียวันลาพักร้อนไปฟรี
ๆ 1 วัน
7.
บางบริษัทจัดไปเที่ยวแต่หักเงินจากพนักงานทำให้พนักงานไม่อยากไปเที่ยว
แถมของขวัญที่จับฉลากก็มาจากเงินของพนักงานอีกนั่นแหละ
ฯลฯ
ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ตัดสินนะครับว่าความเห็นข้างต้นนี้ถูกหรือผิด
เป็นเพียงการสรุปนำเสนอ Feedback
บางส่วนสำหรับคนที่ไม่อยากไปเที่ยวและไม่เห็นด้วยกับการจัดกิจกรรมทำนองนี้ของบริษัทเท่านั้น
ส่วนตัวผมเองสมัยทำงานประจำก็เคยเป็นผู้จัดกิจการมทำนองนี้อยู่แทบทุกปีก็ไม่เคยได้
Feedback
อย่างข้างต้น
วิธีที่ผมเคยจัดจะเป็นแบบนี้ครับ
1.
บริษัทเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่เคยหักเงินพนักงานในการไปเที่ยวประจำปีรวมถึงของขวัญจับฉลากก็ไม่ได้ให้พนักงานออกเงินซื้อ
2.
จัดวันศุกร์-เสาร์ (วันศุกร์นับเป็นวันทำงานตามปกติไม่ได้ถือเป็นวันลา)
แล้วกลับบ่าย ๆ วันเสาร์ พนักงานจะได้มีเวลาพักผ่อนวันอาทิตย์
3.
ตั้งเป็นคณะทำงานโดยมีตัวแทนของฝ่ายต่าง ๆ
เป็นกรรมการ แล้ว HR
จะเข้าร่วมประชุมรับฟังความเห็นเพื่อจัดงานร่วมกัน ทำกำหนดการต่าง ๆ
โดยมติที่ประชุม แล้วให้ตัวแทนไปบอกเล่ากับเพื่อน
ๆ ในฝ่ายตัวเองทราบกำหนดการเที่ยวประจำปี
4.
ไม่มีการจัดสัมมนาฝึกอบรมแทรกไปในกำหนดการเพราะถือว่าการไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีคือไปพักผ่อนสนุกสนานร่วมกันปีละครั้ง
5.
ขอความร่วมมือผู้บริหารทุกระดับนั่งรถบัสไปกับพนักงาน
ส่วนตัวผมเองนั่งรถบัสไปกับพนักงานทุกครั้งไม่เคยขับรถส่วนตัวไปเองซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือดี
6.
การทำกิจกรรมใด ๆ จะไม่สร้างกิจกรรมที่ทำให้พนักงานขายหน้า
หรือทำให้รู้สึกอับอาย เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานร่วมกัน และไม่บังคับใจกัน ผู้บริหารก็เข้าร่วมกิจกรรมเช่นเดียวกัน
ถ้าใครไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมไม่มีผลใด ๆ กับคน ๆ นั้น
เพราะคนที่อยากทำกิจกรรมและสนุกกับเพื่อน ๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย
7.
คนที่เป็นผู้นำกิจกรรมมีความสำคัญมาก
จะต้องเป็นคนทุกฝ่ายยอมรับและเป็นคนมีทักษะการพูดโน้มน้าวใจคน มีไหวพริบ
และมีอารมณ์ขัน คนที่เป็นตัวจี๊ดแบบนี้ผมว่าคนในบริษัทจะรู้กันดีว่ามีใครบ้าง
อยากจะสรุปความเห็นส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
ถ้าบริษัทไหนที่ผู้บริหารกับพนักงานมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน มีความเป็นกันเอง
มีวัฒนธรรมองค์กรแบบพี่แบบน้อง ใจเขาใจเราปัญหาดังกล่าวจะมีน้อยถึงน้อยมาก
แต่ถ้าบริษัทไหนที่มีความขัดแย้งกันสูง
ผู้บริหารกับพนักงานต่างก็ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ขาดความเชื่อถือไว้วางใจซึ่งกันและกันหรือมีความเป็นพิษในองค์กรสูง
(Unhealthy
Organization) ก็คงจะเจอปัญหาปัญหาอย่างที่บอกมาข้างต้นแหละครับ
อย่าว่าแต่ไปเที่ยวกันประจำปีเลยครับ
เรื่องอื่น ๆ ที่ไม่น่าจะมีปัญหามันก็มีปัญหาไปหมดแหละ
หวังว่าที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้คงจะทำให้เกิดข้อคิดสะกิดใจเพื่อทบทวนและปรับปรุงการจัดกิจกรรมเที่ยวประจำปีของบริษัทของท่านในครั้งต่อไปให้ราบรื่นเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นทั้งพนักงานและผู้บริหารได้บ้างแล้วนะครับ