ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่รัฐบาลเริ่มให้คนที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ทะยอยเข้ารับการฉีดกันแล้วนะครับ ผมก็ไปรับการฉีดวัคซีนมาแล้วเช่นเดียวกันและเชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านก็ไปรับการฉีดวัคซีนกันบ้างแล้ว
เมื่อได้รับวัคซีน
แต่ละคนก็จะมีการสนองตอบกับวัคซีนที่แตกต่างกันไปจากน้อยไปหามาก
บางคนก็อาจจะแทบไม่มีอาการอะไรเลย บางคนก็อาจจะปวดหัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว หนาวสั่น
ฯลฯ แล้วอาการเหล่านี้ก็มักจะดีขึ้นภายในสองถึงสามวันหลังจากการฉีดวัคซีน
ปัญหาที่เราจะพูดกันวันนี้ก็คือเรื่องการลาของพนักงานที่เกิดจากผลข้างเคียงของการฉัดวัคซีนนี่แหละครับ
มีคำถามอยู่
2 ข้อคือ
1.
ถ้าพนักงานลาในกรณีนี้ควรให้เป็นลาป่วยหรือลากิจ
เพราะไม่ใช่เป็นการเจ็บป่วยตามปกติ
2.
ในกรณีที่พนักงานมีอาการเยอะกว่าปกติแล้วลาเกิน
3
วัน แต่พักอยู่ที่บ้านแล้วไม่ได้ไปหาหมอแต่พนักงานกินยาพาราเซ็ตตามอลลดไข้เอาเอง
จะทำยังไงเพราะพนักงานไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง
ผมก็ขอตอบจากความเห็นส่วนตัวของผมอย่างนี้ครับ
1.
ผมเห็นว่าควรถือเป็นการลาป่วย
เพราะเป็นผลข้างเคียงมาจากการฉีดวัคซีนแม้จะไม่ใช่เป็นการเจ็บป่วยตามปกติทั่วไปก็ตาม
แต่อาการดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นอาการป่วยครับ
เพราะถ้าจะให้พนักงานลากิจยิ่งจะทำให้ไม่สมเหตุสมผลเนื่องจากการลากิจควรจะเป็นเรื่องของการไปทำกิจธุระส่วนตัวที่จำเป็นที่ไม่สามารถมอบหมายให้ใครไปทำแทนได้
เช่น ลากิจเพื่อไปแต่งงาน, ลาบวช, ลาไปซื้อขายโอนที่ดินของพนักงาน เป็นต้น
2.
ในกรณีพนักงานบางคนที่อาจจะมีอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนมากกว่าคนอื่น
ๆ แล้วจำเป็นต้องลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไปแล้วไม่ได้ไปหาหมอ
โดยพักผ่อนอยู่ที่บ้านหากเป็นเช่นนั้นจริง บริษัทก็ควรอนุญาตให้ลาป่วยโดยไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์มาแสดงก็ได้
เพราะพนักงานไม่ได้ไปหาหมอเนื่องจากอาการดังกล่าวมีมากบ้างน้อยบ้าง
ซึ่งคนที่จะมีอาการมาก ๆ จนต้องหยุดเกิน 3 วันไม่น่าจะมีมาก
ซึ่งถ้าพนักงานลาป่วยตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป
หัวหน้าก็อาจจะไปเยี่ยมลูกน้องเพื่อดูว่ามีอาการมาก-น้อยแค่ไหนก็ได้นะครับ
จากกรณีดังกล่าวผมก็หวังว่าคงไม่มีผู้บริหารบริษัทไหนจะมาเอาเป็นเอาตายกับใบรับรองแพทย์ในกรณีนี้นะครับ
เพราะคุณหมอหลาย ๆ ท่านก็ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าโดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อย
ๆ หายไปในเวลาประมาณ 2-3
วัน
นอกจากคนที่มีอาการข้างเคียงหนักมาก
ๆ (ซึ่งคุณหมอบอกว่ามีน้อยมากๆ ที่จะมีอาการหนัก) ถึงกับแอดมิตเข้าโรงพยาบาล นอกนั้นก็นอนพักอยู่บ้านสักระยะก็ค่อย
ๆ ดีขึ้นเองมาทำงานได้ตามปกติ
ผมก็เลยสรุปว่ากรณีดังกล่าวให้ดูตามข้อเท็จจริงและปฏิบัติกับพนักงานแบบใจเขา-ใจเราโดยไม่มองพนักงานในแง่ร้ายให้มากจนเกินไปแบบจ้องจับผิดว่าพนักงานจ้องจะหยุดกินเปล่าแบบเอาเปรียบบริษัท
ในขณะที่พนักงานที่ดีก็ไม่ควรอาศัยจังหวะนี้ทำมั่วนิ่มลาป่วยเอาเปรียบบริษัท
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีอาการข้างเคียงมากจนถึงขนาดต้องหยุดงาน
ผมเชื่อว่าในองค์กรที่เข้มแข็ง
หรือ Healthy
Organization และมีปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์น้อยไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องที่เราคุยกันในวันนี้
แต่ถ้าองค์กรไหนเป็น
“องค์กรเป็นพิษ” หรือ Unhealthy
Organization ก็เชื่อได้ว่าเรื่องทำนองนี้จะกลายเป็นดราม่าระหว่างพนักงานกับผู้บริหารหรือกับ
HR ได้เสมอ
ก็เลยปิดท้ายเรื่องนี้ด้วยคำถามว่า....
วันนี้องค์กรของท่านอยู่ในประเภทไหนครับ?
...................................