ผมเคยเขียนสมการหนี่งเอาไว้คือ
ค่าตอบแทน(เงินเดือนเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน) = P+C
P
หมายถึง Performance หรือผลการปฏิบัติงาน ส่วน
C หมายถึง Competency คือสมรรถนะหรือความสามารถที่ประกอบด้วย
K=Knowledge=ความรู้ในงานที่ทำ S=Skills=ทักษะในการลงมือทำงานนั้น และ A=Attributes=คุณลักษณะภายในตัวของผู้ปฏิบัติว่าเหมาะสมกับงานที่ทำมาก-น้อยแค่ไหน
ซึ่ง P+C คือคุณค่าในตัวคนที่ทำงานนั้น ๆ
ถ้าองค์กรเห็นว่าพนักงานคนใดมีคุณค่า (หรือ P+C) มากก็มักจะต้องรักษาเอาไว้ไม่ให้ถูกองค์กรอื่นดึงตัวไป
หรือถ้าพนักงานคิดว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าในตัวเขาเท่าที่ควรเขายังได้เงินเดือนน้อยกว่าคุณค่าที่เขามี
เขาก็จะลาออกไปอยู่องค์กรที่ให้เงินเดือนเหมาะกับคุณค่าที่มีในตัวเขา
แล้ว “ค่างาน” (Job Value) ที่มาจากการประเมินค่างานล่ะจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับค่าตอบแทน-ค่าคนในสมการข้างต้นยังไง?
เพื่อให้เห็นภาพความสัมพันธ์ในภาพรวมทั้งหมดระหว่าง
“ค่าตอบแทน-ค่าของคน-ค่างาน”
ผมเลยนำภาพความเกี่ยวข้องกันทั้งหมดมาอธิบายตามนี้ครับ
1. ถ้าพนักงานคนไหนมีผลงาน/ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ที่ดีหรือมีสมรรถนะ/ขีดความสามารถ (Competency หรือมี K-S-A ที่เหมาะตรงกับงานที่รับผิดชอบ) องค์กรก็ควรจะต้องปรับเงินเดือน (หรือปรับค่าตอบแทนอื่น ๆ) เพิ่มให้เพื่อรักษาพนักงานที่มี “คุณค่า” หรือมี P+C คนนั้นเอาไว้ให้คงอยู่กับองค์กร
2.
ค่างาน (Job Value) ในภาพกล่องขวาสุดเกิดจากการประเมินค่างานโดยตำแหน่งที่มีค่างานสูง
มีงานและความรับผิดชอบสูงกว่าจะถูกจัดอยู่ใน Job Grade ที่สูงกว่าตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบและมีค่างานที่ต่ำกว่า
3.
ในบรรทัดแถวล่างสุดผมสมมุติว่าเป็นตำแหน่ง
“พนักงาน” ซึ่งตำแหน่งงานนี้จะมีความสำคัญของงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับที่ (1) หรือเรียกว่าอยู่ใน
Job Grade (1) ตามค่างาน (Job Value) ที่ถูกคณะกรรมการประเมินค่างานของบริษัทประเมินเอาไว้
เมื่อองค์กรแต่งตั้งให้พนักงานคนใดมาทำงานในตำแหน่งที่อยู่ใน Job Grade (1) ก็จะได้รับเงินเดือนอยู่ในกรอบที่กำหนดเอาไว้ตามโครงสร้างเงินเดือนนี้
ผมสมมุติว่าใน Job Grade (1) มีกรอบการจ่ายเงินเดือน 10,000-20,000
บาท
4.
บรรทัดถัดขึ้นมาผมสมมุติว่าเป็นตำแหน่ง
“หัวหน้าแผนก” ตำแหน่งงานนี้จะมีค่างาน (Job Value) คือมีความสำคัญของงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับที่
(2) ซึ่งคณะกรรมการประเมินค่างานได้พิจารณาแล้วเห็นว่าตำแหน่งหัวหน้าแผนกมีงานและความรับผิดชอบในค่างานสูงกว่าค่างานในตำแหน่งพนักงาน
Job Grade (1) ดังนั้นเมื่อทำโครงสร้างเงินเดือนใน Job
Grade (2) โดยเปรียบเทียบกับตลาดแข่งขันแล้วจะมีกรอบการจ่ายสูงกว่า Job
Grade (1) คือมีกรอบการจ่ายอยู่ที่ 20,001-40,000 บาท
5.
เมื่อดูสมการแถวล่างสุด (1) จะเห็นได้ว่าถ้าหากพนักงานยังคงทำงานเหมือนเดิม
มีผลการปฏิบัติงานเหมือนเดิม
มีความรู้/ทักษะ/คุณลักษณะภายในที่ใช้ในงานเท่าเดิมก็ย่อมจะได้รับเงินเดือนอยู่ในกรอบการจ่าย
10,000-20,000 บาท
เพราะองค์กรจะพิจารณาว่า P+C ยังคงเท่าเดิม
ดังนั้นคุณค่าในตัวพนักงานที่ทำงานคงอยู่ในค่างาน (Job Value) ปัจจุบันใน Job Grade (1)
6.
แต่ถ้าพนักงานคนไหนที่มีผลการปฏิบัติงานดีกว่าเดิม
(P เพิ่มขึ้น) หรือมีสมรรถนะความสามารถ (มี Competency หรือมี
K-S-A) เพิ่มขึ้น จนสามารถเลื่อนขึ้นไปรับตำแหน่งงานที่มี
“ค่างาน” (Job Value) และมีความรับผิดชอบสูงขึ้นใน Job
Grade (2) ก็ย่อมจะทำให้พนักงานคนนั้นมี “คุณค่า”
ในตัวคนเพิ่มสูงขึ้น
จึงควรจะต้องได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนให้ขึ้นไปอยู่ในกรอบการจ่ายที่สูงขึ้น
(ในกรณีนี้คือ 20,001-40,000 บาท) ตามค่างานของ Job
Grade (2) ตามไปด้วย
7.
จากสมการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ค่างาน” หรือ
Job
Value จึงเป็นเรื่องของความสำคัญของตำแหน่งงานที่องค์กรกำหนดไว้ก่อนหน้านี้จากการประเมินค่างานเป็นมาตรฐาน
ส่วน “ค่าของคน” (P+C) เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลว่าคนไหนจะมีผลงานหรือมีขีดความสามารถจะรับผิดชอบงานที่มีค่างานสูงขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่
ถ้าคน ๆ ไหนมีค่าของคนเพิ่มสูงขึ้น (พัฒนาตัวเองให้มี P+C เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา)
ก็
ย่อมจะมีโอกาสก้าวขึ้นไปรับผิดชอบงานที่มีค่างาน
(Job
Value) สูงขึ้น และก็จะทำให้ “ค่าตอบแทน” (Compensation) เพิ่มตามไปด้วย
8.
ในทางกลับกันถ้าพนักงานคนไหนไม่เพิ่ม
“ค่าของคน” ในตัวเอง (ไม่เพิ่ม P+C) ก็ย่อมจะทำให้หัวหน้าหรือผู้บริหารไม่เห็นคุณค่าในตัวคนที่มากพอที่จะไว้วางใจให้ก้าวขึ้นไปรับผิดชอบในตำแหน่งที่มีค่างานที่สูงขึ้นได้
จึงไม่จำเป็นจะต้องปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนให้เพิ่มขึ้นและเมื่อถึงจุดสูงสุดของกรอบการจ่ายก็จะทำให้คน
ๆ นั้นเงินเดือนตัน เพราะค่าของงานในตำแหน่งมีอยู่เพียงเท่านั้นเอง
9.
จะเห็นได้ว่า P+C ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมานาน
หรือการเรียนจบคุณวุฒิที่สูงขึ้นแต่อย่างใด
แต่ขึ้นอยู่กับคนไหนจะสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างผลงานและเพิ่มศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถในตัวเองจนเป็นที่ยอมรับขององค์กรได้มากแค่ไหนต่างหาก
10.
ดังนั้นจึงอธิบายสมการที่ผมเขียนเอาไว้คือ
ค่าตอบแทน = P+C ได้ว่าถ้าคน ๆ ไหนไม่พัฒนาตัวเองให้ผลงาน (P)
ดีขึ้นกว่าเดิม หรือมีขีดความสามารถ (C) เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมก็จะต้องได้รับค่าตอบแทน
(หรือเงินเดือน) เท่าเดิม เพราะตัวแปรด้านขวาของสมการคงเดิม แต่ถ้าใครสามารถเพิ่ม P
หรือเพิ่ม C ให้มากขึ้นก็จะมีผลทำให้ค่าตอบแทน
(หรือเงินเดือน) เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเสมอ และ P+C ที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้คน ๆ นั้นมีความพร้อมที่จะรับผิดชอบงานที่มีค่างาน (Job
Value) สูงขึ้นกว่าเดิมและจะทำให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในที่สุด
จากที่ผมอธิบายมาทั้งหมดก็เชื่อว่าจะทำให้ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้เข้าใจเหตุผลความสัมพันธ์ของ
สมการดังกล่าวและเห็นความสำคัญในการพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มคุณค่าในตัวเองให้พร้อมที่จะรับผิดชอบค่างานในตำแหน่งที่สูงขึ้นได้แล้วนะครับ
จึงสรุปตามหลักของไอน์สไตน์ได้ว่า
“มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม (คือ P+C เท่าเดิม)
แต่หวังให้ผลลัพธ์ (คือค่าตอบแทนหรือเงินเดือน) แตกต่างไป”
จริงไหมครับ?
................................