เห็นชอบตั้งกระทู้อยู่บ่อยครั้งว่าเงินเดือนเท่านี้เองจะพอกินเหรอแถมมีตารางรายได้-ค่าใช้จ่ายมาหักกลบลบกันให้ดูด้วยว่าได้เงินเดือนเท่านี้ค่าใช้จ่ายเท่านั้นจะพอกินพอใช้ในแต่ละเดือนไหม
ในวันนี้ผมก็เลยอยากจะนำเรื่องนี้มานำเสนอในอีกมุมหนึ่ง
จะเรียกว่าเป็นมุมของคนที่ทำงานด้านค่าตอบแทนมาโดยตลอดเวลา 38 ปี
แม้ในปัจจุบันก็ยังติดตามข้อมูลเหล่านี้อยู่เสมอ ยิ่งวันนี้เป็นยุคของ Big
data ก็ยิ่งจำเป็นจะต้องคุยกันด้วยข้อมูลมากกว่าการใช้อารมณ์หรือความรู้สึกเพื่อให้ได้ข้อคิดบางอย่าง
ผมจึงนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างเงินเดือนเริ่มต้นวุฒิปริญญาตรี
ค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าอาหาร ค่าเดินทางโดยรถเมล์ ราคาทองคำ
และเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีในปี 2525/2554/2563 ดังนี้
บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้องเริ่มที่ปี
2525 ก็ตอบได้ว่าเพราะผมเริ่มทำงานในเดือนมีนาคม 2525 ก็เลยขอนำข้อมูลตั้งแต่ปีที่ผมเริ่มทำงานเป็นตัวตั้งต้น
และผมได้รับเงินเดือนเริ่มต้นที่ 3,500 บาท
ถ้าจะถามว่าทำไมถึงถัดมาเป็นปี
2554 ก็เพราะในปี 2555-56 เรามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดจากวันละ
215 บาทเป็น 300 บาท
(ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40%) ที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากกับโครงสร้างค่าจ้างทั้งประเทศ
ผมก็เลยขอจับเอาช่วงก่อนที่จะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งประวัติศาสตร์ครับ
และปี
2563 ก็คือปีนี้คือปีปัจจุบันนี่แหละครับ
จากตารางข้างต้นผมสรุปเป็นข้อ
ๆ ดังนี้
1.
ในช่วง 38 ปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราเงินเดือนปริญญาตรีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ
9% ในขณะที่ค่ารถเมล์เพิ่มเฉลี่ยปีละ 6% ค่าอาหารเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ
19% ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ
2% ดีเซลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ
12% ส่วนการขึ้นเงินเดือนประจำปีมีค่าเฉลี่ย 8% ต่อปี
ผมมีข้อสังเกตว่าคนที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาจนจบปริญญาตรีกลับมีเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของเงินเดือนต่ำกว่าคนที่ไม่ต้องเรียนอะไรเลย
(คือคนที่รับค่าจ้างขั้นต่ำ) เฉลี่ยปีละ 3%
หรือแม้แต่เปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ยประมาณปีละ
8% (ในรอบ 38 ปี) ก็ยังต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำเสียเสียอีก
คือเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีจะต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำโดยเฉลี่ยปีละ
4% เสียอีกแน่ะ!
ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่าเรื่องของค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเรื่องการเมืองมากกว่าการมองในเชิงข้อมูลข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปีไหนมีการเลือกตั้งสส.ก็จะมีการหาเสียงแบบประชานิยมเอาใจฐานเสียงด้วยการสัญญาว่าจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด
ดูแล้วก็ย้อนแย้งกับนโยบายของหลายรัฐบาล
(ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม) ที่อยากจะให้ประเทศเรามีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มากขึ้น
แต่กลับมาจูงใจ
Unskilled ให้รอการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจากนักการเมืองที่อยากเอาใจฐานเสียงแบบไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าของตัวเองซื้อเสียง
แต่ไปล้วงเงินในกระเป๋าของคนอื่น (คือบริษัทเอกชน) ให้จ่ายแทนด้วยการออกกฎหมายให้เอกชนจ่ายตามค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาล
แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่เราถึงจะขยับชั้นขึ้นไปสู่
Skilled
Labor กันล่ะ เรื่องนี้ก็น่าคิดนะครับ
2.
เรายังโชคดีที่ราคาน้ำมันในระยะหลัง ๆ
มานี้ไม่ได้พุ่งกระฉูดเหมือนเมื่อปี 2554 จึงทำให้ปัญหาของคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนในเรื่องของค่าน้ำมันไม่ได้สูงมากมายอะไรนักเมื่อเทียบกับอดีต
ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตว่าเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าน้ำมันโดยเฉลี่ยต่อปีจะต่ำกว่าทุกหมวดในตารางนี้
3.
เมื่อดูตารางเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของเงินเดือนปริญญาตรีเปรียบเทียบกับค่ารถเมล์แบบเจาะลึกลงไปตามภาพนี้
จะเห็นได้ว่าในปี
2563 ค่ารถเมล์ (รถเมล์ร้อน) จะคิดเป็น 7.6% ของเงินเดือน
ถ้าจะว่าไปแล้วก็ทำให้เราเห็นว่าอัตราส่วนนี้ลดลงเมื่อเทียบกับเมื่อ 38 ปีที่แล้ว ซึ่งแสดงว่าทุกรัฐบาลคงจะมีนโยบายเหมือนกันคือตรึงราคารถเมล์เอาไว้โดยตลอด
(ค่ารถเมล์นี่ก็เป็นเรื่องการเมืองไม่แพ้เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำแหละครับ)
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมขสมก.ถึงขาดทุนสะสมมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ข้อคิดคือปัจจุบันการเดินทางของคนทำงานมีสารพัดอย่าง
เช่น รถตู้, รถไฟฟ้า, เรือ, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ
ซึ่งราคาของการเดินทางเหล่านี้คงมีอยู่แล้วตามสื่อต่าง ๆ แต่ที่ผมหยิบค่ารถเมล์มาเปรียบเทียบเพียงเรื่องเดียวเพราะสมัยผมทำงานมีแต่รถเมล์เป็นหลักก็เลยเอาค่ารถเมล์มาใช้น่ะครับ
4.
ผมทำตารางเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าอาหารต่อเงินเดือนในรอบ
38 ปีดังนี้ครับ
จากตารางข้างต้นผมใช้ค่าอาหารเฉลี่ยในกทม.เราจะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าอาหารต่อเงินเดือนเพิ่มขึ้นเกือบ
100% ในรอบ 38 ปีที่ผ่านมา พูดง่าย ๆ
ว่าหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็หมดไปกับค่ากินอาหาร (ซึ่งยังไม่ได้นับเรื่องการสังสรรค์ดื่มกินฟุ่มเฟือยนะครับ)
ที่จำเป็นมื้อละประมาณ 50 บาทวันละ 3 มื้อนี่ก็ปาเข้าไป
30% ของเงินเดือนแล้วครับ
ในขณะที่เมื่อตอนที่ผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ ค่าอาหารจะอยู่ที่ประมาณ 15% เท่านั้น
ค่าอาหารนี่ผมหมายถึงไปซื้อข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวกินนะครับ
ดังนั้นถ้าใครทำอาหารกินเองได้ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปได้อีกพอสมควร
แต่ก็....นะ..คนทำงานน่ะในวันทำงานปกติก็ต้องไปซื้อเขากินอยู่แล้ว
จะทำกินเองก็คงจะเป็นวันหยุดล่ะมังครับหรือถ้าใครอยู่ในย่านที่ค่าอาหารถูกกว่ามื้อละ
50 บาทก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ลดลงได้พอสมควร แต่ก็เป็นสัจธรรมว่าราคาที่ถูกลงก็จะถูกลดปริมาณหรือคุณภาพลงด้วยเช่นเดียวกัน
5.
มีเงินนับเป็นน้อง ถ้ามีทองก็นับเป็นพี่
ผมก็เลยขอนำเอาราคาทองคำซึ่งมักใช้อ้างอิงกับเรื่องค่าเงินมาเปรียบเทียบให้ท่านดูดังนี้ครับ
จากตารางข้างต้นสมัยผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ ถ้าผมจะเก็บเงินเพื่อซื้อทอง
(สมมุติว่าทั้งเดือนไม่ต้องกินต้องใช้อะไรเลย) ผมใช้เวลาเพียง 1 เดือนนิด ๆ ผมก็จะซื้อทองได้ 1 บาท
แต่ในปัจจุบัน (2563) ผมต้องเก็บเงินไว้ประมาณ 2 เดือนถึงจะซื้อทองได้ 1
บาท!
ในอีกมิติหนึ่งจะเห็นได้ว่าเปอร์เซ็นต์ความห่างระหว่างราคาทองคำกับเงินเดือนเพิ่มขึ้น
(จากปี 2525 ถึง 2563) ถึงประมาณ 4
เท่าตัว (จาก 21% ถึง 87%)
หรือจะบอกว่าค่าเงินบาทลดลงไปมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำก็ได้ครับ!
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นแหละว่าผมอยากจะนำเสนอข้อมูลชุดนี้ในมุมมองที่แตกต่างไปจากที่เคยมีการนำเสนอกันทางสื่อต่าง
ๆ ผมก็เลยใช้ข้อมูลเงินเดือนย้อนหลัง 30 กว่าปี
รวมถึงข้อมูลค่าใช้จ่ายบางตัวที่เห็นได้ชัด ๆ
หรือราคาทองคำเพื่อนำมาวิเคราะห์ให้เห็นในอีกรูปแบบหนึ่ง
จากประเด็นที่ผมบอกมาทั้งหมดข้างต้นจึงมีข้อสรุปคือ
1.
เรามีเปอร์เซ็นต์การปรับขึ้นเงินเดือนสำหรับนักศึกษาจบใหม่
(ในบทความนี้ใช้คุณวุฒิปริญญาตรี) ที่ต่ำมากในรอบ 38 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
2.
เปอร์เซ็นต์ราคาอาหารต่อเงินเดือน
(โดยเฉพาะในกทม.หรือเมืองใหญ่) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากประมาณ 95% (จาก
15.4% เป็น 30%)
3.
เปอร์เซ็นต์การปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีของทุกบริษัทโดยเฉลี่ยคือ
5% ต่อปี (ก่อนปี 2540 เรามีการขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ยประมาณ
10% แต่หลังจากปี 2543 เราจะขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย
5% มาโดยตลอด) ซึ่งต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์ของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเสียอีก
แสดงให้เห็นว่าตลาดค่าตอบแทนภายใน (ของบริษัท)
โตไม่ทันตลาดค่าตอบแทนภายนอกบริษัท
ตรงนี้จึงทำให้หลายองค์กรมีปัญหาว่าทำไมคนรุ่นหลังเข้ามาทำงานถึงได้เงินเดือนไล่หลังหรือแซงคนที่เขามาทำงานก่อนหน้านี้
4.
ค่าของเงินที่ลดลงไปมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำจาก
21% กลายเป็น 87% หรือ 4 เท่า จะทำให้มนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่
ๆ ตั้งหลักปักฐานได้ยากกว่าสมัยก่อน
เพราะแค่จะซื้อทองมาเก็บก็ยังทำได้ยากกว่าสมัยก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงการไปผ่อนบ้าน
ผ่อนรถ ฯลฯ
5.
สำหรับผู้บริหารองค์กรและ HR เมื่อเห็นตัวเลขข้อมูลแบบนี้แล้วก็คงเป็นการบ้านที่จะต้องกลับไปขบคิดต่อว่าเราควรจะทำยังไงเพื่อรักษาคนดีมีคุณภาพเอาไว้กับเราให้ได้เพื่อป้องกันปัญหาการขาดคนขึ้นไปทดแทนคนเก่าที่ลาออกหรือเกษียณไปในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นการคิดแผนการทำ Succession Plan หรือการวาง Career
Path ตลอดจนแผนกลยุทธ์ด้านค่าตอบแทนเพื่อรักษาคนในและจูงใจคนนอกให้อยากมาร่วมงานกับเรา
ฯลฯ
6.
ส่วนฝั่งที่เป็นมนุษย์เงินเดือน
แทนที่จะตั้งคำถามว่า “เงินเดือนแค่นี้จะพอกินเหรอ?” แล้วก็ไม่ยอมพัฒนาตัวเองก็จะต้องยอมรับชะตากรรมว่าถ้าเราจะได้รับการขึ้นเงินเดือนประมาณค่าเฉลี่ยคือปีละ
5% ก็จะถูกคนรุ่นใหม่แซงไปเรื่อย ๆ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดแค้นต่อว่าหัวหน้าหรือคิดโกรธบริษัทที่ขึ้นเงินเดือนให้เราน้อยทำให้ไม่พอกิน
ก็สู้เอาเวลาไปคิดพัฒนาตัวเองให้มี “ของ”
หรือมีผลงานมีศักยภาพในงานให้ตรงกับที่องค์กรต้องการและอยากจะเก็บรักษาเราไว้
ถ้าองค์กรเห็นความสำคัญเขาก็จะต้องปรับเงินเดือนหรือ Promote เรา แต่ถ้าองค์กรไม่เห็นว่าเรามีคุณค่าก็ถึงเวลา “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง”
ได้แล้วล่ะ
7.
หรือถ้าเราแจ๋วกว่านั้นคือมีไอเดียดี ๆ ค้นหาความสามารถในตัวเองที่ตอบโจทย์ตลาดได้เร็วก็ควรจะผันตัวเองไปทำงานที่เราถนัดแบบ
Start
up หรือเป็นผู้ประกอบการเองจะดีกว่ากว่าการมาเป็นมนุษย์เงินเดือนไหม
8.
ส่วนคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ในตอนนี้เมื่อเห็นข้อมูลข้างต้นก็ต้องเริ่มคิดหารายได้เสริมให้มากกว่าที่ได้รับจากบริษัทเพื่อให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจะดีไหม
ซึ่งวันนี้เราจะเห็นคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมีอาชีพเสริมเช่นขายของออนไลน์,
ขายของตามตลาดนัดในวันหยุด, เป็นตัวแทนขายตรง ฯลฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ
“เราเรียนรู้เรื่องราวในอดีตเพื่อมาทำปัจจุบันให้ดี
ถ้าทำปัจจุบันดีแล้วอนาคตย่อมดีตามไปด้วย” หวังว่าข้อมูลในบทความนี้คงจะทำให้ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างเกิดไอเดียที่จะเริ่มคิดทำอะไรบางอย่างในการวางแผนในปัจจุบันสำหรับองค์กรและตัวของท่านเองเพื่อให้มีอนาคตที่ดีต่อไป
เป็นกำลังใจให้กับทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างนะครับ
………………………….