เมื่อไหร่ที่จั่วหัวมาแบบนี้รับรองได้ว่าจะเป็นประเด็นเรียกแขกได้ทุกที
เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะนำไปสู่การปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
ผมยกตัวอย่างเช่น บริษัทจ้างวิศวกรเข้ามาที่เงินเดือน 25,000 บาท และมี “ค่าวิชาชีพ” เนื่องจากวิศวกรต้องใช้วิชาชีพด้านวิศวกรรมอีกเดือนละ
3,000 บาท
ตกลงว่า
“ค่าจ้าง” ของวิศวกรคนนี้เป็นเท่าไหร่ครับ 25,000 บาท หรือ 28,000
บาท?
ที่ต้องมาเคลียร์กันตรงนี้ให้ดีว่าถ้าหากวิศวกรคนนี้ทำงานล่วงเวลา
ฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาควรจะเป็น 25,000 บาท หรือ 28,000
บาท ถ้าใช้ฐานคำนวณไม่ถูกต้องแล้ววิศวกรคนนี้ไปร้องเรียนแรงงานเขตพื้นที่
หรือไปฟ้องศาลแรงงานว่าบริษัทใช้ฐานคำนวณการจ่ายค่าล่วงเวลาไม่ถูกต้องก็จะทำให้บริษัทแพ้คดีแล้วต้องมาจ่ายเงินย้อนหลังแถมเสียชื่อเสียงอีกต่างหาก
เพราะในกฎหมายแรงงานไม่มีคำว่า
“เงินเดือน” มีแต่คำว่า “ค่าจ้าง” น่ะสิครับ !
เราถึงต้องมาดูนิยามของคำว่า
“ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5
ของกฎหมายแรงงานดังนี้
“ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน
แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
เมื่อดูจากนิยามข้างต้นค่าจ้างก็คือเงินที่เป็นค่าตอบแทนการทำงานที่จ่ายให้ลูกจ้างในเวลาทำงานปกติครับ
ถ้ามีเงินใดที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเข้าข่ายนี้ก็เป็นค่าจ้างครับ
หรือค่าล่วงเวลาก็ไม่ถือเป็นค่าจ้างครับเนื่องจากเป็นค่าตอบแทนการทำงานที่จ่ายนอกระยะเวลาเวลาทำงานปกติ
ตัวอย่างของวิศวกรที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้น
ถ้าท่านเข้าใจคำนิยามของคำว่า “ค่าจ้าง” ดีแล้ว
ท่านจะตอบได้เลยนะครับว่าตกลงค่าจ้างของวิศวกรคนนี้คือเท่าไหร่กันแน่
ผมให้เวลาท่านลองคิดดูก่อนนะครับ....ติ๊กต่อก..ติ๊กต่อก...
ผมให้เวลาท่านลองคิดดูก่อนนะครับ....ติ๊กต่อก..ติ๊กต่อก...
คำตอบคือ
ค่าจ้างของวิศวกรคนนี้คือ 28,000
บาทครับ เพราะว่าค่าวิชาชีพ 3,000 บาท
ถือว่าเป็นค่าจ้างด้วยเนื่องจากเป็นค่าตอบแทนการทำงานในตำแหน่งวิศวกรที่จำเป็นต้องใช้วิชาชีพวิศวกรรมในการทำงาน
ถ้าหากเป็นตำแหน่งงานอื่นที่ไม่ต้องใช้วิชาชีพด้านวิศวกรรม
บริษัทก็ไม่ได้จ่ายค่าวิชาชีพให้นี่ครับ
จากตัวอย่างข้างต้นผมเชื่อว่าหลายบริษัทยังคงใช้ 25,000 บาทเป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาอยู่เลยใช่ไหมครับ?
จากตัวอย่างข้างต้นผมเชื่อว่าหลายบริษัทยังคงใช้ 25,000 บาทเป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาอยู่เลยใช่ไหมครับ?
จึงสรุปเรื่องค่าจ้างได้ตรงนี้ว่าเงินเดือนเป็นค่าจ้าง แต่ค่าจ้างไม่ได้มีเฉพาะเงินเดือน!!
เงินอื่นที่เข้าข่ายค่าจ้างตามมาตรา
5 เช่น ค่าครองชีพ, ค่าภาษา, ค่าวิชาชีพ, ค่าตำแหน่ง,
เงินที่จ่ายเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไข,
ค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายให้โดยคิดจากเปอร์เซ็นต์ของยอดขายเพื่อตอบแทนการทำงาน,
ค่าน้ำมันรถที่จ่ายให้เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเจตนาให้เป็นสวัสดิการ เป็นต้น
สำหรับเงินอื่นที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างนอกเหนือจากที่ผมบอกไปข้างต้นก็ต้องมาดูข้อมูลรายละเอียดอื่นประกอบกันอีกทีนะครับว่าอะไรเข้าข่ายค่าจ้างตามมาตรา
5 หรือไม่
ถ้าจะถามว่าสวัสดิการถือเป็นค่าจ้างหรือไม่?
ตอบได้ว่าตามกฎหมายแรงงานถือว่าสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้างครับเพราะไม่ใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน
แต่จ่ายให้ลูกจ้างเพื่อช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจ้าง
ที่สำคัญคือ
“ค่าจ้าง” จะใช้เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างตามกฎหมายแรงงานอีกหลายเรื่อง
เช่น ใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลา, ค่าทำงานในวันหยุด, ค่าล่วงเวลาในวันหยุด,
ค่าชดเชย, ค่าชดเชยพิเศษ, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นต้น
ส่วนเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างโดยมีระเบียบสวัสดิการและการปฏิบัติที่ชัดเจน
เช่น สวัสดิการค่าอาหาร, ค่าเช่าบ้าน, ค่าเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพของลูกจ้าง,
เงินช่วยเหลือค่าน้ำประปา, ค่าไฟฟ้า, เงินช่วยเหลือคลอดบุตร ฯลฯ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้านสวัสดิการความเป็นอยู่ของลูกจ้างและมีการปฏิบัติที่เป็นการให้สวัสดิการจริง
ๆ อย่างนี้แล้วก็ไม่ถือเป็นค่าจ้าง
มาถึงตรงนี้ท่านคงจะเข้าใจชัดเจนมากขึ้นแล้วนะครับว่าอะไรคือสวัสดิการและอะไรคือค่าจ้าง
อ้อ..แล้วก็อย่าลืมใช้ "ค่าจ้าง" เป็นฐานในการคำนวณในเรื่องต่าง ๆ ให้ถูกต้องจะได้ไม่มีปัญหาในอนาคตนะครับ
อ้อ..แล้วก็อย่าลืมใช้ "ค่าจ้าง" เป็นฐานในการคำนวณในเรื่องต่าง ๆ ให้ถูกต้องจะได้ไม่มีปัญหาในอนาคตนะครับ
………………………..