ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจสิ่งที่เราท่านมักจะได้ยินได้ฟังข่าวร้ายจากสื่อต่าง
ๆ อยู่เสมอก็คือ “การเลิกจ้าง”
ซึ่งการเลิกจ้างมักเป็นเรื่องที่ลูกจ้างมักจะกลัวและไม่อยากจะให้เป็นตัวเราเองเพราะต้องมาหางานใหม่ไหนจะเรื่องเงินขาดมือในระหว่างว่างงานอีกล่ะ
ฯลฯ
การเลิกจ้างอาจจะแบ่งเป็น
2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.
เลิกจ้างเพราะบริษัทจำเป็นต้องปิดกิจการ
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องมาจัดลำดับก่อน-หลังหรอกครับเพราะทุกคนตกงานโดยเท่าเทียมเสมอภาคกันทุกคนตั้งแต่กรรมการผู้จัดการยันพนักงานระดับล่างทั้งหมด
2.
เลิกจ้างเป็นบางส่วนหรือเลิกจ้างเป็นบางคน เช่น
ปิดบางแผนกบางฝ่ายเลยต้องเอาคนในบางแผนกหรือบางฝ่ายออก, มีการปรับเปลี่ยนระบบ,
วิธีการทำงานหรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ต้องลดคนลง
หรือจำเป็นต้องเลิกจ้างคนบางคนบางตำแหน่งด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม
ผมก็ขอนำเอาการเลิกจ้างเป็นบางส่วนโดยจัดอันดับก่อน-หลังตามข้อ
2 ข้างต้นมาให้ท่านดูว่าถ้าหากบริษัทจะเลิกจ้างพนักงานแบบนั้น ผู้บริหารจะมีหลักเกณฑ์ยังไงในการเลิกจ้างดังนี้ครับ
1.
พนักงานที่เป็น Outsource หรือพนักงานที่บริษัทจ้างแบบลูกจ้างชั่วคราวรวมทั้งลูกจ้างรายวัน
2.
พนักงานที่มีอายุงานน้อยที่สุดเพราะยังไม่มีอะไรผูกพันกับบริษัทมากนัก
3.
พนักงานที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปที่ชอบทำงานเหมือนเดิม
ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
มอบหมายงานใหม่ให้ทำก็ไม่ยอมรับเพราะบอกว่าอายุมากแล้วทำไม่ได้
ไม่มีผลงานและไม่มีศักยภาพที่เพิ่มขึ้นตามอายุตัวและอายุงาน
4.
พนักงานที่มีสถิติการป่วย สาย ลา ขาดงานมาก
5.
พนักงานที่มีปัญหาสุขภาพและลาป่วยบ่อยมาก
มีโรคประจำตัวเรื้อรังรุมเร้าจนต้องลาป่วยบ่อยมากในแต่ะละปี
6.
พนักงานที่ฝ่ายบริหารเห็นว่ามีปัญหามากในเรื่องทัศนคติเป็นลบกับบริษัท
ชอบทำตัวต่อต้านฝ่ายบริหาร, ชอบปล่อยข่าวลือในองค์กร,
เป็นตัวตั้งตัวตีสร้างความปั่นป่วนในบริษัท, ทำตัวเป็นมาเฟียขาใหญ่ในบริษัทคอยระรานพนักงานคนอื่น
ฯลฯ
7.
พนักงานที่ความประพฤติมีปัญหาหรือพนักงานที่ชอบทำความผิดชอบฝ่าฝืนกฎระเบียบคำสั่งต่าง
ๆ ของบริษัท เช่น เคยถูกตักเตือนด้วยวาจา,
ถูกตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีในการทำงาน
8.
พนักงานที่ถูกประเมินให้มีผลการปฏิบัติงานในระดับต่ำเช่นได้รับการประเมินผลงานในเกรด
D หรือ E หรือมีผลการปฏิบัติงานที่ใช้ไม่ได้ ขี้เกียจ
ไม่สนใจงานการ ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย, ไม่ได้ตามตัวชี้วัด KPIs หรือไม่สามารถรับผิดชอบงานได้ตามที่ตกลงกันอยู่เป็นประจำ
9.
พนักงานที่ผู้บริหารไม่ชอบหน้าเป็นการส่วนตัว
อันนี้อาจจะเป็นเกณฑ์ในการคัดคนออกที่นอกตำรา แต่ในชีวิตจริงมันเป็นอย่างงี้จริง ๆ
นะครับ คือถามว่าพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทำงานดีไหมก็ตอบว่าดีมีศักยภาพ
แต่ดันศรศิลป์ไม่กินกันกับผู้บริหารระดับสูง
(ถ้าเชื่อเรื่องกรรมก็คงจะมีกรรมกันมาแต่ชาติปางก่อนก็ได้มั๊งครับ)
ก็เลยถูกกาชื่อออกไปซะงั้น
พนักงานที่มีลักษณะอย่างที่ผมบอกมาข้างต้นนี่แหละครับที่มักจะอยู่ในข่ายที่จะถูกเลิกจ้างเมื่อฝ่ายบริหารจำเป็นจำต้องตัดสินใจว่าใครควรอยู่หรือใครควรจะไปก็มักจะอาศัยเกณฑ์ที่ผมบอกมาข้างต้นนี่แหละครับเป็นตัวคัดเลือกคนที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทจะเลิกจ้าง
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับการเลิกจ้างเริ่มจากข้อ
1 ก่อนแล้วค่อยพิจารณาลงมาเรื่อย ๆ จนถึงข้อ 9 นะครับ
พูดง่าย ๆ ว่าถ้าใครมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในข้อ 1 ถึงข้อ 9 ล่ะก็มีสิทธิตกงานได้ทั้งนั้นแหละครับ
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่อยากจะให้มีการเลิกจ้างกันหรอกนะครับ
แค่อยากจะให้เป็นข้อมูลสำหรับทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายพนักงานให้รับรู้และเข้าใจตรงกันว่าหลักเกณฑ์การเลิกจ้างมีอะไรบ้างเท่านั้นแหละครับและขอเป็นกำลังใจให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่าง
ๆ ไปได้ด้วยดีนะครับ
…………………………..