วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

“ตอนนี้งานก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้วไม่มีคนทำงาน HR รับใครก็ได้เข้ามาช่วยงานทีเถอะ”


            คำพูดปนบ่นทำนองนี้ผมเคยได้ยินจาก Line Manager เวลามีลูกน้องในแผนกตัวเองลาออกไป แล้วตัวเองจะต้องไปเป็นผู้สัมภาษณ์เพื่อหาคนมาทำงานแทนคนเก่าที่ลาออกไป

            ซึ่ง Line Manager ที่คิดแบบนี้ก็จะไม่ให้ความสำคัญกับการสัมภาษณ์สักเท่าไหร่นัก มักจะคิดว่าการสัมภาษณ์คือการพูดคุยดูตัวกัน ถ้าคุยกันใครถูกคอถูกใจก็จะเลือกคนนั้น เหมือนกับการหาแฟนใหม่ให้คล้าย ๆ แฟนเก่ายังไงยังงั้นแหละครับ

          จึงมักจะเป็นการสัมภาษณ์แบบ “จิตสัมผัส” หรือ Unstructured Interview แล้วใช้อคติประเภท HALO Effect ตัดสินใจเลือกผู้สมัครงานเข้ามาเป็นลูกน้องเป็นหลัก

            พอ HR ทักท้วงว่าผู้สมัครคนที่พี่ Line Manager แกเลือกไม่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน แกก็จะพูดปนบ่นเหมือนหัวเรื่องในวันนี้แหละครับ

            ถ้าเป็นอย่างงี้ HR คงจะต้องหาเวลาคุยกับ Line Manager เกี่ยวกับการสัมภาษณ์แล้วล่ะ

          โดยอธิบายให้แกเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่าการสัมภาษณ์ไม่ใช่แค่การพูดคุยดูตัว แต่เป็นการคัดเลือกคนที่ “ใช่” ที่เหมาะกับองค์กรที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปยาว ๆ แบบมีอนาคตนะครับ !!

            อันนี้ผมพูดถึงตำแหน่งงานที่จะต้องมี Career Path ต่อไปกับองค์กรนะครับ ถ้าเป็นตำแหน่งงานที่ไม่มี Career Path เราคงต้องไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง

          เพราะปัญหาเกี่ยวกับคนในองค์กรจะมีมากหรือน้อยต่อไปในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่กำลังสัมภาษณ์นี่แหละครับ

            ถ้าคัดเลือกคนได้ดีได้เหมาะปัญหาเรื่องคนก็จะน้อยลง ทำให้องค์กรได้คนดีมีศักยภาพมาเป็นกำลังสำคัญ แต่ถ้าคัดคนไม่ดีไม่เหมาะเข้ามานี่ก็จะเป็นปัญหาสารพัดเหมือนที่หลายองค์กรเจอกันอยู่ในทุกวันนี้ด้วยใช่ไหมล่ะครับ

          ผมจะเปรียบเทียบเสมอว่าการคัดเลือกคนเข้าทำงานก็เหมือนกันการตัดสินใจแต่งงานแหละครับ

            มีบางสิ่งที่เหมือนกัน และมีบางอย่างที่ต่างกัน

            สิ่งที่เหมือนกันคือเวลาเราจะตัดสินใจแต่งงานกับใคร เราคงไม่พูดเหมือนหัวเรื่องในวันนี้ประเภท “เอาใครก็ได้เข้ามาแต่งงานกับเราก่อนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้เราก็โสดเราก็เหงา เพื่อนก็แซวทุกวันว่าไม่ลงจากคานซะที หาใครมาก็ได้แต่ง ๆ ไปก่อนแล้วเดี๋ยวข้างหน้าค่อยว่ากัน....”

            คล้าย ๆ กันไหมครับกับความคิดที่ว่า “เอาใครก็ได้เข้ามาทำงานไปก่อนก็แล้วกัน....”

            ถ้าคิดอย่างงี้อนาคตจะเป็นยังไงลองคิดดูเอาเองนะครับ

          แต่สิ่งที่ต่างกันคือ “เวลา” ในการตัดสินใจคัดเลือก

            เพราะการแต่งงานเรามีเวลาดูใจกันนานเป็นเดือน เป็นปี หลาย ๆ ปีเพื่อดูว่าไปกันได้หรือเปล่า

            แต่การตัดสินใจรับคนเข้าทำงานใช้เวลาเฉลี่ยเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงในการสัมภาษณ์ต่อผู้สมัครหนี่งรายเท่านั้น แล้วจะต้องมาตัดสินใจคัดเลือกว่าใครเหมาะที่สุดสำหรับตำแหน่งงานนี้

            ดังนั้น ผู้สัมภาษณ์จึงต้องมี “ทักษะ” ในการสัมภาษณ์ ในการอ่านภาษากาย ในการดูทัศนคติ ดูว่าผู้สมัครรายไหนที่จะสามารถอยู่กับองค์กรของเรา ทีมงานของเรา ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของเราได้ดีกว่ากัน

            ไม่ใช่แค่การพูดคุยแล้วถูกใจก็รับเข้ามาทำงาน....

            แล้วก็เกิดปัญหาปวดหัวตามมาให้แก้กันต่อไปในอนาคต

          อย่าลืมว่า “You are what you eat” นะครับ

            ถ้าองค์กรไหนไม่อยากจะมาตามแก้ปัญหาเรื่องคน ก็ควรจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานได้แล้วล่ะครับ

            เริ่มจาก HR จะต้องให้ความรู้กับ Line Manager ให้เห็นความสำคัญของการเป็น “ผู้คัดเลือก” ผู้สมัครงานที่เข้ามา Audition เพื่อให้ Line Manager มี “ทักษะ” ในการอ่านคนเหมือน ๆ กับกรรมการที่คัดเลือกนักร้องนักแสดงซึ่งจะต้องดูแววหรือศักยภาพในตัวผู้สมัครงานแต่ละรายได้ด้วยว่าใครมีออร่ามากกว่ากัน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ Structured Interview ส่วนองค์กรไหนจะมีเทคนิคในการคัดเลือกที่ก้าวไปถึง Competency Base Interview หรือ Behavioral Event Interview ก็ยิ่งทำให้การคัดเลือกดีมากขึ้น

          แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนคือ..ความคิดที่ว่าการสัมภาษณ์ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย 

          แต่คือการคัดเลือกคนที่ “ใช่” สำหรับองค์กรครับ!

..................................................