เวลามีคนมาทักเราว่า “แหม..นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วเธอยังเหมือนเดิมเลยนะ” ผมว่าหลายคนที่ถูกทักอย่างงี้คงจะรู้สึกดีจริงไหมครับ
เพราะส่วนใหญ่ก็จะคิดถึงรูปร่างหน้าตาที่ยังดูอ่อนเยาว์
หรือยังมีนิสัยดีเสมอต้นเสมอปลาย
แต่ถ้าคำทักทายข้างต้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่การงานล่ะ..มีใครอยากอยู่ในตำแหน่งเดิมไปเรื่อย
ๆ โดยไม่ก้าวหน้าบ้างไหมล่ะครับ
หรือพูดง่าย ๆ
ว่าวันเวลาที่ผ่านไปก็ไม่อาจทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเปลี่ยนแปลงไปได้เลย คือเคยเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานเมื่อสิบปีก่อน
ปัจจุบันก็ยังคงเป็นพนักงานอยู่เหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือคำว่า “อาวุโส”
บ้างไหมล่ะเพราะถ้าต่อจากคำว่าอาวุโสคงเป็นอมตะแล้วล่ะครับ
จากตรงนี้ผมก็เลยมาลองคิดต่อไปจากประสบการณ์ของผมว่าอะไรล่ะที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนทำงานยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ก็น่าจะมีสาเหตุตามนี้....
1.
ทำงานเท่าเงินเดือน : คนพวกนี้มักจะมีคำพูดติดปากว่า
“บริษัทให้เงินเดือนเท่านี้ก็ทำแค่นี้แหละจะเอาอะไรกันมากมาย....”
เรียกว่าจ่ายแค่ไหนก็ทำให้แค่นั้น จ่าย 100 ก็ทำให้ 100
ก็พอแล้ว (เผลอ ๆ จะทำน้อยกว่า 100 อีกต่างหาก)
จะเอาอะไรกันนักกันหนา, บริษัทจ้องแต่จะเอาเปรียบเราหรือเปล่า
อยากให้ทำงานเยอะก็ต้องจ่ายมาเยอะ ๆ ก่อนดิ
ทำตัวเป็นคล้ายแมวน้ำหรือปลาโลมาที่จะกระโดดลอดห่วงก็ต่อเมื่อครูฝึกป้อนปลาให้กินเท่านั้น
2.
ทำงานแค่หน้าตัก มักจะยึด JD เป็นสรณะ : คือมีงานที่เคยได้รับมอบหมายอะไรก็ทำแค่นั้นจนเป็น
Routine ขาดความเอาใจใส่ในงาน เมื่อหัวหน้ามอบหมายงานอะไรที่ใหม่ไปจากที่เคยทำก็จะบ่ายเบี่ยง
เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง, ไม่สนใจที่จะเรียนรู้งานอะไรที่ใหม่ ๆ
ที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงการพัฒนาตัวเอง
บริษัทจะส่งเข้ารับการอบรมก็มักจะหลีกเลี่ยงอ้างติดงาน, ไม่มีเวลา, ติดลูกค้า ฯลฯ หรือถ้าเข้าอบรมก็ไปเหมือนไปพักร้อนไม่เคยนำสิ่งที่ได้รับจากการอบรมมาพัฒนาตัวเองหรืองานให้ดีขึ้นบ้างเลย
3.
ปฏิเสธความก้าวหน้า เมื่อมีโอกาสมาก็ไม่รับ : ไม่อยากรับผิดชอบให้มากกว่านี้
งานที่ทำในปัจจุบันก็ดีอยู่แล้วถ้าต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า
4.
ความถนัด/ความสามารถไม่ตรงกับงานที่ทำ : ไม่เคยสำรวจตัวเองเลยว่าตัวเองมีความถนัดหรือมีความสามารถอะไรบ้าง
เปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ เพื่อค้นหาตัวเองแต่ก็หลายปีผ่านไปยังค้นไม่เจอซะที
5.
ไม่เคยวางแผนหรือมีเป้าหมายในชีวิต : ทำงานไปวัน
ๆ สิ้นเดือนรับเงินเดือน สิ้นปีได้ขึ้นเงินเดือนได้โบนัสก็แฮปปี้แล้ว คิดแค่ว่า
“ชีวิตของเรา..ใช้ซะ” เลยใช้ชีวิตแบบไม่มีเป้าหมาย ขาดแรงบันดาลใจและเปะปะ
ก่อนที่เรือเล็กจะออกจากฝั่งจะต้องมีเป้าหมายเสียก่อนนะครับไม่งั้นก็คว้างอยู่กลางทะเลนั่นแหละพี่ตูนก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
6.
อยู่ในบริษัทที่ไม่มี Career Path : บริษัทไม่เคยคิดถึงความเติบโตก้าวหน้าของลูกจ้างพนักงานบ้างเลย,
ผู้บริหารใช้งานพนักงานไปแบบวัน ๆ ให้ได้เงินมีรายได้เข้าเป้าของบริษัทก็พอแล้ว,
ผู้บริหารจิตใจคับแคบกับพนักงาน
7.
ได้หัวหน้าไม่ดี : มีหัวหน้าที่ขี้อิจฉา
บ้าอำนาจ ไม่เคยคิดพัฒนาลูกน้อง ไม่เคยสอนงานลูกน้อง
ไม่เคยส่งเสริมความก้าวหน้าของลูกน้องให้ก้าวหน้า หัวหน้าจิตใจคับแคบ
เอาเปรียบลูกน้อง เอาดีเข้าตัวเอาชั่วโยนลูกน้อง โลเลเปลี่ยนใจไปมา
ไม่กล้าแก้ปัญหาไม่กล้าตัดสินใจ แถมมีแต่ทัศนคติแบบลบเสียเป็นส่วนใหญ่
8.
ประชาสัมพันธ์ตัวเองไม่เป็น : ทำงานดีแต่ต้องมี Signature
มีลายเซ็นให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือผลงานของเรา
สร้างการยอมรับจากคนรอบข้าง (รวมถึงหัวหน้าหรือผู้บริหาร)
ว่าเรามีความสามารถที่เป็นพิเศษในเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เป็นผลงานที่คนยอมรับซึ่งแน่นอนว่าผลงานในเรื่องเหล่านี้อาจจะดูคล้าย
ๆ กับผลงานของคนอื่นทั่วไป แต่ต้องใส่สิ่งที่แตกต่างที่เป็นลายเซ็นของเราให้ได้
เช่น ทุกร้านอาหารทำต้มยำกุ้งได้ทั้งนั้น
แต่ร้านไหนล่ะที่จะใส่ความพิเศษให้ลูกค้ายอมรับว่าต้มยำกุ้งของร้านเราจะมีลายเซ็นที่พิเศษกว่าต้มยำกุ้งของร้านอื่น
และต้องรู้จักการนำเสนอและขายความสามารถและผลงานที่แตกต่างให้เกิดการยอมรับให้คนรอบข้างได้รับรู้
เพราะหลายคนที่ทำงานดีมีความสามารถแต่ PR ตัวเองไม่เป็นก็จะกลายเป็นพนักงานดี
(และเก่ง) ที่โลกลืมและมองข้ามไป
ยิ่งยุคนี้มีสื่อสารพัดต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
9.
ทัศนคติที่ดูถูกตัวเอง : ชอบพูดหรือคิดกับตัวเองว่า....เรื่องนี้เราทำไม่ได้หรอกเพราะใคร
ๆ เขายังทำไม่ได้เลยแล้วเราจะทำสำเร็จได้ยังไง, หมอดูบอกว่าเราเป็นคนดวงไม่ดีทำอะไรก็ไม่สำเร็จ,
เราทำคุณคนไม่ขึ้น, คิดไปก็เสียเวลาเปล่าเพราะหัวหน้าคงไม่เอาด้วยหรอก,
เรื่องนี้ยากไม่มีวันทำได้, คนเก่งกว่าเรายังมีอีกตั้งเยอะให้เขาทำไปก็แล้วกัน,
สบายกว่ากันเยอะเลยอยู่เฉย ๆ ดีกว่า มีปัญหาในทุกคำตอบแทนที่จะหาคำตอบในแต่ละคำถาม
ฯลฯ
ตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า.... “ใครจะดูถูกเราก็ไม่แย่เท่าเราดูถูกตัวเอง”
หรอกนะครับ อย่าลืมว่าทัศนคติคือทุก ๆ อย่างในชีวิต ต่อให้เก่งยังไงถ้ามีทัศนคติลบมากกว่าบวกคนเก่งเหล่านั้นก็ไปไหนไม่ได้ไกลหรอกครับ
หวังว่าข้อคิดข้างต้นคงจะเป็นแนวทางให้ท่านที่อ่านเรื่องนี้นำไปทบทวนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของท่านเองให้ดีขึ้น อย่าลืมว่าคุณค่าในตัวเราก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองที่จะสร้างมันขึ้นมานะครับ
และขอตบท้ายว่า “ความก้าวหน้าและมั่นคงขึ้นอยู่กับตัวของเรา
ไม่ใช่หัวหน้าหรือองค์กร” ครับ
………………………………………..