“เลิกจ้าง”
ผมว่าคำ ๆ นี้คงไม่มีใครอยากจะได้ยิน โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกจ้างเพราะคำ ๆ นี้มักจะมาจากการบอกเลิกจ้างด้วยวาจาหรือการทำหนังสือเลิกจ้างของนายจ้าง
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะให้ลูกจ้างทำงานด้วยกันอีกต่อไปได้
ถ้านายจ้างต้องการจะเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา
119 ของกฎหมายแรงงาน (ไปหาอ่านรายละเอียดของมาตรา 119 ดูในกูเกิ้ลนะครับ)
นายจ้างก็จะต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานตามมาตรา 118 แถมยังจะต้องจ่าย
“ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า” ตามมาตรา 17 อีกด้วย
ซึ่งผมก็เคยเขียนเรื่อง
“ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า....จ่ายยังไงถึงจะถูกต้อง” ไปแล้วให้ท่านไปหาอ่านโดยพิมพ์คำ
ๆ นี้ในกูเกิ้ลกันดูนะครับ
ปัญหาในเรื่องการเลิกจ้างที่ผมจะพูดถึงในวันนี้จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งนอกเหนือจากการจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้ายังไงให้ถูกต้องที่ได้เคยพูดถึงไปแล้ว
นั่นคืออยากจะให้ข้อคิดเกี่ยวกับ
“วิธีปฏิบัติ” เมื่อนายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างครับ !!??
ตามมาตรา 17 บอกไว้ว่า
“....นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด
เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้
แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน.....
....การบอกเลิกสัญญาจ้างตามวรรคสอง
นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้....”
จากข้อกฎหมายข้างต้นผมขออธิบายโดยยกตัวอย่างเพื่อให้ท่านเข้าใจง่ายขึ้นคือ....
สมมุติว่าบริษัท
A จะบอกเลิกจ้างนายเฉื่อย เพราะนายเฉื่อยทำงานไม่ดีขาดความรับผิดชอบ
งานผิดพลาดและเกิดปัญหาอยู่เป็นประจำโดยหัวหน้าก็เคยพูดคุยกับนายเฉื่อยมาหลายครั้งหลายหนให้นายเฉื่อยปรับปรุงตัวซึ่งทุกครั้งแกก็รับปากจะปรับปรุงตัว
แต่พอเวลาผ่านไปการทำงานของนายเฉื่อยก็ยังไม่ดีขึ้น
บริษัท
A ก็เลยทำหนังสือบอกเลิกจ้างนายเฉื่อยโดยระบุสาเหตุการเลิกจ้างคือนายเฉื่อยขาดความรับผิดชอบในงาน
ทำงานผิดพลาดและเกิดปัญหาอะไรบ้างจนบริษัทจำเป็นต้องเลิกจ้าง ฯลฯ
ซึ่งหนังสือแจ้งเลิกจ้างนี้บริษัทควรจะต้องแจ้งโดยยื่นหนังสือเลิกจ้างนี้ให้กับนายเฉื่อยในวันที่จ่ายค่าจ้าง
(ผมสมมุติว่าบริษัท A
มีรอบการจ่ายเงินเดือนทุกสิ้นเดือนนะครับ) ตามมาตรา 17 ข้างต้น
ดังนั้นในกรณีนี้บริษัท
A ก็ควรแจ้งเลิกจ้างนายเฉื่อยพร้อมทั้งยื่นหนังสือเลิกจ้างให้กับนายเฉื่อยในวันที่จ่ายค่าจ้างสมมุติว่าเป็นวันที่
30 มิถุนายน เพื่อให้มีผลการเลิกจ้างคือวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งนายเฉื่อยจะต้องมาทำงานอีก 1 เดือนคือ 1-31
กรกฎาคม แล้ววันที่ 1 สิงหาคมนายเฉื่อยก็ไม่ต้องมาทำงานอีกต่อไปโดยบริษัท
A ก็จะต้องจ่ายค่าจ้างให้นายเฉื่อยในเดือนกรกฎาคมเต็มเดือน
ที่ผมบอกมาอย่างนี้แหละครับที่เรียกว่า
“การบอกกล่าวล่วงหน้า”
แต่ท่านลองคิดดูแบบใจเขาใจเรานะครับว่าถ้าเราเป็นนายเฉื่อย
พอบริษัทแจ้งเลิกจ้างแบบนี้แล้วให้เวลาเรามาทำงานอีก 1 เดือนน่ะ
เราอยากจะมาทำงานอีกไหม ?
ดังนั้น บริษัทหลายแห่งจึงใช้วิธี “จ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า” คือบริษัท
A แจ้งเลิกจ้างและยื่นหนังสือเลิกจ้างให้นายเฉื่อย (ในวันที่
30 มิถุนายน) แล้ว รุ่งขึ้นวันที่ 1 กรกฎาคม
นายเฉื่อยก็ไม่ต้องมาทำงานอีกต่อไป โดยบริษัทจะจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้นายเฉื่อยไปล่วงหน้าไปเลย
1 เดือนและให้นายเฉื่อยออกจากงานทันที (ตั้งแต่วันที่ 1
กรกฎาคมเป็นต้นไปไม่ต้องมาทำงาน) ได้ตามมาตรา 17 ข้างต้น
งั้นเราควรใช้วิธีบอกกล่าวล่วงหน้า
หรือจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าดีล่ะ ??
ผู้บริหารบางบริษัทยังมีแนวความคิดที่ว่าเมื่อบริษัทจ่ายค่าจ้างให้พนักงานแล้ว
ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าจ้างคือพนักงานจะต้องทำงานให้กับบริษัทจนวันสุดท้ายที่บริษัทจ่ายค่าจ้างให้
แต่อาจจะลืมคิดถึงหลัก “ใจเขา-ใจเรา” ว่าถ้าเราเป็นพนักงานที่ถูกบริษัทแจ้งว่าจะเลิกจ้างน่ะเรายังอยากจะมาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ต่อไปอีกไหม
?
ดังนั้น ผู้บริหารที่มีแนวคิดที่จะใช้พนักงานที่ถูกบอกเลิกจ้างให้คุ้มค่าจ้างข้างต้นก็จะต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาของพนักงานที่ถูกแจ้งเลิกจ้างที่จะมาทำงานบ้าง
ไม่มาบ้าง อ้างลาป่วยบ้าง ขอหยุดเพราะต้องไปทำธุระโน่นนี่สารพัด
ซ้ำร้ายพนักงานที่ถูกแจ้งเลิกจ้างบางรายอาจจะเอาข้อมูลสำคัญของบริษัทออกไป
หรือวางยาอะไรให้เกิดความเสียหายกับบริษัทเพราะความคับแค้นใจ ฯลฯ
แล้วผู้บริหารก็จะมีคำถามต่อมาว่าจะออกหนังสือตักเตือนพนักงานที่ถูกแจ้งเลิกจ้างที่มีพฤติกรรมแบบนี้ได้หรือไม่
หรือบริษัทควรจะทำยังไงกับกรณีทำนองนี้ ฯลฯ
เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วหวังว่าท่านคงจะได้คำตอบแล้วนะครับว่าควรจะเลือกวิธีไหนดีกว่ากัน
?
…………………………………..