ผมเขียนเรื่องนี้เพราะไปได้ยินคำถามหนึ่งว่า....
“เป็นพนักงานในบริษัท
Outsource แห่งหนึ่งมาประมาณ
7 ปีแล้ว ซึ่งบริษัท Outsource แห่งนี้ก็เพิ่งประมูลได้งานจากบริษัทผู้ว่าจ้างให้ส่งพนักงาน
Outsource ไปทำงานในบริษัทลูกค้ารายนี้ แต่เนื่องจากบริษัท Outsource
ต้องแข่งขันในการประมูลงานกับรายอื่น ๆ
จึงทำให้ต้องเสนอราคาโดยตัดราคากับคู่แข่ง ก็เลยทำให้บริษัท Outsource ต้องมาขอลดเงินเดือนพนักงาน Outsource ลง พนักงาน Outsource
ก็เลยมีคำถามว่าจะยอมลดเงินเดือนลงดีหรือไม่”
ก็คงมีคำตอบและข้อคิดอย่างนี้นะครับ
1.
การลดค่าจ้างลูกจ้างลงนั้นถ้าลูกจ้างไม่ยินยอมนายจ้างไม่สามารถลดค่าจ้างลงได้เพราะผิดกฎหมายแรงงาน
ดังนั้นถ้าพนักงาน Outsource ไม่ยินยอมแล้วทางบริษัท
Outsource ต้นสังกัดมาลดเงินเดือนลงก็สามารถไปร้องเรียนกับแรงงานเขตพื้นที่ให้เขาเข้ามาตรวจสอบได้ครับ
2.
พนักงาน
Outsource รายนี้คงต้องหันกลับมาถามตัวเองดูว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้
เราอยู่กับบริษัท Outsource นี้มาตั้ง 7 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เราดีขึ้นหรือเปล่า,
เรามีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นหรือไม่เมื่อเทียบกับเมื่อ 7 ปีที่แล้ว, เราถนัดหรือเราเก่งมีความสามารถในเรื่องไหนบ้าง,
เรากำลังฝากอนาคตฝากชีวิตความก้าวหน้าของเราไว้กับบริษัท Outsource ไว้เพียงเท่านั้นหรือ ?
จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา
ผมมักจะพบว่าคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยวางแผนชีวิตให้กับตัวเองแต่จะคิดวางแผนการทำงาน
(หรือบ่อยครั้งก็ไม่เคยวางแผนการทำงานด้วยซ้ำไป) ไปแบบวันต่อวัน
ว่าวันนี้จะต้องทำอะไร พรุ่งนี้ต้องทำอะไร ฯลฯ
ไม่เคยแม้แต่จะทบทวนตัวเองว่าเรามีความสามารถ
มีความสนใจ
มีความถนัดในเรื่องไหนที่จะพัฒนาให้มันเก่งหรือดีมากขึ้นเพื่อที่จะได้กลายเป็นอนาคตที่มั่นคงของตัวเราเอง
พูดง่าย ๆ
คือจะฝากอนาคตของตัวเองไว้กับบริษัทบ้าง, ฝากไว้กับหัวหน้าบ้าง,
ฝากไว้กับโชคชะตาฟ้าลิขิตบ้าง ฯลฯ
พอไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง,
ไม่ก้าวหน้า, ไม่ได้รับการปรับเงินเดือนให้สูงขึ้น
หรืออย่างในกรณีนี้คือถูกลดเงินเดือนลง
ก็จะมาคิดน้อยอกน้อยใจว่าทำไมเราไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง,
ทำไมหัวหน้าไม่สนับสนุนเราให้เลื่อนขึ้นมา, ทำไมเราได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อน
ๆ หรือทำไมบริษัทถึงมาลดเงินเดือนเราลง ฯลฯ
ถ้ายังมีวิธีคิดแบบนี้ก็บอกได้ว่าเรากำลังฝากอนาคตของเราไว้ที่คนอื่นนะครับ
!!
ซึ่งผมอยากจะบอกว่าคนที่จะทำให้เราก้าวหน้า
ทำให้เราดีขึ้นกว่านี้คือตัวของเราเอง !
ฟ้าลิขิตไม่สู้คนลงมือทำหรอกครับ
!
แทนที่จะเอาเวลามานั่งคิดน้อยอกน้อยใจ
หรือจิตตกเพราะปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เหล่านั้น
เราสู้เอาเวลากลับมาคิดทบทวนในปัจจัยที่เราควบคุมได้หรือตัวเราเองไม่ดีกว่าหรือครับ
เช่น....
1.
ทัศนคติคือทุก
ๆ อย่างในชีวิต ต้องมองหาโอกาสให้กับตัวเองอยู่เสมอ อย่ามัวแต่ทำงานประจำไปวัน ๆ
โดยไม่มองหาโอกาสให้กับตัวเองหรือมีทัศนคติอยู่แค่ว่า
“อย่างเราคงจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก เป็นพนักงานอย่างนี้ไปก็ดีอยู่แล้ว....”
ถ้ามีทัศนคติแบบนี้ก็คงต้องฝากอนาคตไว้กับคนอื่นตลอดไปแหละครับ
2.
เรามีความสามารถหรือความถนัดหรือความสนใจในเรื่องไหน
แล้วเราจะพัฒนาความสามารถของเรายังไงให้เกิดประโยชน์กับตัวเราให้มากที่สุด เช่น
ถ้าเราสนใจเรื่องของต้นไม้เราก็หาข้อมูลของต้นไม้ที่เราสนใจ
คิดดูว่าถ้าเราจะแปรความสนใจในเรื่องต้นไม้ให้เป็นธุรกิจมันจะมีทางไหนได้บ้าง
และจะทำได้อย่างไร, ช่องทางการขายมีทางไหนได้บ้าง เช่น
การขายต้นไม้โดยริวิวต้นไม้แปลกๆ (ที่เรามีความรู้ในเรื่องนี้ดี) ผ่านสื่อออนไลน์
ฯลฯ แล้วเราก็อาจจะเริ่มจากอาชีพเสริมเกี่ยวกับการขายต้นไม้ดูว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
เป็นต้น
สิ่งสำคัญในข้อนี้คือเราต้องหาสิ่งที่เราถนัดหรือความสามารถที่มีในตัวเราให้เจอเสียก่อนว่าคือเรื่องอะไรแล้วจึงต่อยอดความสามารถนี้ออกไปให้เกิดประโยชน์กับตัวเรา
3.
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ
หรือเป็นเจ้าของกิจการก็ล้วนแต่ต้องเป็นคนที่กระตือรือร้น
ใฝ่เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
คนเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างได้ จะมีความแปลกใหม่ที่แตกต่าง
(ในทางดี) อยู่เสมอ ๆ ทำให้หัวหน้าผู้บังคับบัญชา
หรือลูกค้ายอมรับความสามารถที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ
ถึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น หรือลูกค้ายอมรับในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
ส่วนคนที่ทำงานแบบ Routine ไปแบบวัน ๆ
ก็จะไม่มีความแตกต่างอะไรกับคนที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน
ดังนั้นก็ไม่แปลกที่หัวหน้าจะไม่เห็นความสำคัญอะไรที่จะต้องมาเลื่อนตำแหน่งอะไรให้กับคนที่ทำงานให้เสร็จสิ้นไปแบบวัน
ๆ
4.
การพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีความรู้รอบตัวดี
เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดแบบรู้ลึก-รู้จริง จะทำให้เกิดการยอมรับได้เสมอ
5.
ต้องไม่ลืมความสำคัญของการประชาสัมพันธ์ตัวเองให้คนอื่น
ๆ ได้รู้ด้วยว่าตัวเองทำงานอะไร มีความสามารถอะไรบ้าง เพราะคนหลายคนอาจจะทำงานเก่ง
มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่เคยประชาสัมพันธ์ให้คนอื่น ๆ
ได้รู้เลยว่าเขามีผลงานอะไรบ้างก็จะกลายเป็นคนที่โลกลืมไปด้วย แต่การประชาสัมพันธ์ตัวเองนี้ผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องอวดอ้างหรือขี้คุยนะครับ
ต้องดูกาลเทศะที่เหมาะสม
แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีเพื่อบอกให้คนอื่น ๆ
ได้รู้ว่าเขามีอะไรดีหรือเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องไหนเพื่อให้เกิดการยอมรับว่าเป็น Signature ของตัวเราเอง เช่น
เมื่อพูดถึงกล้วยไม้ก็จะต้องยอมรับความเชี่ยวชาญของท่านอาจารย์ระพี สาคริก เป็นต้น
เท่าที่ผมนึกออกในตอนนี้คงมีเท่านี้แต่เชื่อว่าเมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านน่าจะได้ไอเดียและคิดต่อยอดในการพัฒนาตัวเองให้ไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้โดยไม่ต้องฝากชีวิตเราไว้กับคนอื่นแล้วนะครับ
ก็อย่างที่พระท่านบอกว่า
“ตนเป็นที่พึงแห่งตน” นั่นแหละครับ
…………………………….