เรื่องนี้ยังคงมีคอนเซ็ป (Concept) คล้าย ๆ กับเรื่องที่ผมเขียนไปก่อนหน้านี้คือเรื่องบริษัทจะหักค่าลาพักร้อนเกินสิทธิได้หรือไม่
นั่นคือแนวคิดทำนองที่ว่า “บริษัทอื่นเขาก็ทำกันมายังงี้แหละทำกันมาตั้งนานแล้ว คงไม่ผิดหรอก
เพราะใคร ๆ เขาก็ทำกัน” (จำคีย์เวิร์ดที่ขีดเส้นใต้ไว้นะครับ) ก็เลยทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
(แต่คิดเอาเองว่าถูก) กันต่อมา
เมื่อเกิดปัญหาร้องเรียนหรือฟ้องร้องค่อยมาถึงบางอ้อว่าสิ่งที่ทำมาโดยตลอดนั้นไม่ถูกต้อง
เรื่องนี้ก็มีอยู่ว่าบริษัทแห่งหนึ่งทำธุรกิจประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอิเล็กโทรนิกส์มีวันทำงานจันทร์ถึงเสาร์ หยุดวันอาทิตย์ เวลาทำงาน 8.00-17.00 น. ได้ไปตกลงร่วมกับทางสหภาพแรงงานโดยประกาศวันหยุดประเพณีประจำปีคือนำวันเสาร์ที่
12 เมษายนซึ่งปกติจะต้องเป็นวันทำงาน
ไปแลกกับวันจันทร์ที่ 7 เมษายนซึ่งเป็นวันหยุดชดเชยวันจักรี (วันที่ 6 เมษายน
ซึ่งเป็นวันจักรีตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของบริษัท)
ดังนั้น
จากประกาศของบริษัทจึงให้พนักงานหยุดงานวันเสาร์ที่ 12 เมษายน โดยให้มาทำงานในวันจันทร์ที่ 7 เมษายนแทน
ซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับจะไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเป็นการแลกวันหยุดกันซึ่งบริษัทอื่นก็ทำกันอย่างนี้อยู่บ่อย
ๆ ไป เรียกว่า “ใคร ๆ เขาก็ทำกัน” จริงไหมครับ
แต่....ช้าก่อน....
บริษัทแห่งนี้มาเกิดปัญหาตรงที่บริษัทไปเลิกจ้างพนักงานคนหนึ่งเพราะพนักงานคนนี้มาทำงานในวันที่
7
เมษายนแค่ครึ่งวันเช้า (8.00-12.00 น.)
และขาดงานไปในครึ่งวันบ่าย
ลูกจ้างเลยนำเรื่องไปฟ้องศาลแรงงาน....
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
“....งานที่ลูกจ้างทำ ไม่ต้องด้วยพรบ.คุ้มครองแรงงานฯมาตรา 29 วรรคท้าย และกฎกระทรวงฉบับที่ 4 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2541 ที่จะตกลงเปลี่ยนวันหยุดตามประเพณีได้ นายจ้างจึงไม่อาจประกาศให้ลูกจ้างไปทำงานในวันจันทร์ที่
7 เมษายน 2546 เพื่อชดเชยในวันเสาร์ที่
12 เมษายน 2546 มีผลเท่ากับว่าวันจันทร์ที่
7 เมษายน 2546 ยังเป็นวันหยุดชดเชยวันจักรี
การที่ลูกจ้างมาทำงานในวันที่
7
เมษายน 2546 ตั้งแต่เวลา 8.00-12.00 นาฬิกานับว่าเป็นคุณแก่นายจ้างแล้ว ดังนั้น
การที่ลูกจ้างไม่อยู่ทำงานระหว่าง 13.00-17.00 นาฬิกาจึงไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย”
(ฎ.4321-4323/2548)
เพื่อให้ท่านเข้าใจมากขึ้นผมขอนำมาตรา
29 วรรคท้ายมาให้ดูเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นดังนี้ครับ
มาตรา
29
“....ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้
เนื่องจากลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่า
จะหยุดในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณีหรือนายจ้างจะจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ก็ได้”
ตรงนี้หมายความว่า
หากนายจ้างไม่สามารถให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้
นายจ้างก็สามารถสลับวันหยุดแบบกรณีที่เราคุยกันตามตัวอย่างข้างต้นก็ได้
แต่มีข้อแม้ว่าลักษณะงานนั้นต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 ด้วย
(ตามที่ผมขีดเส้นใต้ไว้) โดยกฎกระทรวงฉบับที่
4 บอกไว้ว่าลักษณะของงานที่จะสามารถสลับวันหยุดกันได้นั้นจะต้องมีลักษณะงานดังนี้ครับ
1.
งานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร
ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล และสถานบริการท่องเที่ยว
2.
งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานขนส่ง
และงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน
แต่บริษัทนี้เป็นบริษัทที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอิเล็คโทรนิกส์จึงไม่ได้มีลักษณะงานเข้าข่ายสองข้อข้างต้นตามกฎกระทรวง
บริษัทจึงสลับวันหยุดไม่ได้เพราะขัดกับกฎหมายแรงงานครับ
!!
ดังนั้น ประกาศในการสลับวันหยุดดังกล่าวของบริษัทจึงเป็นโมฆะนั่นเอง
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าพนักงานคนนี้ไม่ได้ขาดงานครึ่งวันบ่ายของวันที่
7 เมษายน เพราะในทางกฎหมายก็ยังถือว่าวันที่ 7 เมษายน
เป็นวันหยุดชดเชยวันจักรีอยู่ และการที่พนักงานมาทำงานวันที่ 7 เมษายน (ที่เป็นวันหยุดชดเชย) ตั้งครึ่งวันเช้าก็ถือว่าเป็นคุณกับบริษัทด้วยซ้ำไป
จากกรณีนี้
ผมเชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้ข้อคิดเพื่อนำไปใช้เรื่องการประกาศสลับวันหยุดในครั้งต่อไปแล้ว
พูดง่าย ๆ ว่าถ้าธุรกิจของท่านไม่ได้มีลักษณะงานเข้าข่ายตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 สองข้อข้างต้นล่ะก็
ท่านจะสลับวันหยุด (หรือมักจะเรียกกันว่าแลกวันหยุด) ไม่ได้ครับ
และเป็นอุทาหรณ์ด้วยว่า
อะไรที่ทำตาม ๆ กันมาโดยบอกต่อ ๆ กันมา แบบที่ว่า “ก็ใคร ๆ เขาก็ทำกันเลย”
นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ถ้าไม่ศึกษาหาข้อมูลให้ดีแล้วทำไปแบบผิด ๆ
ผลลัพธ์ก็จะเป็นอย่างเรื่องที่เราคุยกันมานี่แหละครับ