วันนี้มีคำถามเข้ามาถึงผมในเรื่องของค่าจ้างเพิ่มเติมคือ
เบี้ยขยันถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ ?
ผมคงต้องขอยกเอาความหมายของ “ค่าจ้าง” ตามมาตรา 5 ของกฎหมายแรงงานมาเพื่อความเข้าใจกันในที่นี้อีกครั้งดังนี้
“ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น
หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน
แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
จากนิยามค่าจ้างข้างต้น
“เบี้ยขยัน” จะเข้าข่ายค่าจ้างหรือไม่
ก็ต้องมาดูในข้อเท็จจริงสิครับว่าเบี้ยขยันของบริษัทของท่านมีวิธีการจ่ายกันอยู่ยังไง
เช่น
ถ้าผู้บริหารเห็นว่าหมู่นี้พนักงานมาสาย เริ่มขี้เกียจ
ทำงานไม่ค่อยจะเสร็จตามเป้าหมายก็เลยให้มีการจ่ายเบี้ยขยันให้กับพนักงานโดยมีเงื่อนไขของการจ่ายว่า
บริษัทจะจ่ายเบี้ยขยันให้กับพนักงานที่ไม่เคยมาทำงานสาย ขาดงาน ลางาน เกินกี่วัน
ถ้าป่วย สาย ลา ขาดงาน ตั้งแต่กี่วันจะได้รับค่าเบี้ยขยันกี่บาท
จนกระทั่งถ้าเกินกำหนดก็จะไม่ได้รับเบี้ยขยัน
ซึ่งมีวัตถุประสงค์โดยสรุปก็เพื่อต้องการจูงใจให้พนักงานมาทำงานโดยไม่ขาดงานนั่นแหละครับ
(แต่ผมก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าถ้าผู้บริหารคิดและทำแบบนี้ก็แปลกลับได้ว่าถ้าบริษัทไม่จ่ายค่าเบี้ยขยันเมื่อไหร่
พนักงานก็จะ “ขี้เกียจ” ทำงาน บริษัทถึงต้องให้เบี้ยขยันทุกคนถึงจะขยันมาทำงานหรือครับ
?)
ซึ่งถ้าหากบริษัทจ่ายเบี้ยขยันในลักษณะที่มีเงื่อนไขเพื่อสร้างแรงจูงใจแบบนี้แล้ว
ได้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาออกมาดังนี้
“เบี้ยขยันที่นายจ้างนำมาจูงใจให้ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยขยันต้องเป็นผู้ไม่ขาดงาน ไม่ลางาน ไม่มาทำงานสาย
นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างต่างหากจากค่าจ้างปกติ เป็นเงินค่าตอบแทนความขยัน
มิใช่ค่าจ้าง” (ฎ.9313-9976/2547)
สรุปได้ว่าถ้ามีการจ่ายค่าเบี้ยขยันโดยมีเงื่อนไขระเบียบกำหนดไว้ชัดเจนอย่างที่ผมบอกมาข้างต้นแล้ว
เบี้ยขยันจะไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างครับ
ยังไงก็ตาม
ผมฝากข้อคิดไว้บางประเด็นก็คือในบางบริษัทมีการจ่ายเบี้ยขยันแบบเท่ากันทุกเดือนโดยไม่ได้มีเงื่อนไขทำนองเดียวกับที่บอกไว้ข้างต้น
คือจ่ายเบี้ยขยันแบบเหมาจ่ายแบบไม่มีเงื่อนไขแล้วล่ะก็
กรณีนี้เมื่อเป็นคดีไปสู่ศาลแรงงานแล้วก็น่าคิดเหมือนกันนะครับว่าเบี้ยขยันทำนองนี้ยังไม่ใช่ค่าจ้างอยู่หรือไม่
เพราะในที่สุดศาลท่านก็ต้องดูเจตนาในการจ่ายของนายจ้างเป็นหลักว่าเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ
หรือเป็นการจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “ค่าจ้าง” กันแน่
เพราะบางบริษัทก็มีการจ่ายค่าจ้างที่ต่ำมากจนเกินไปก็เลยมีนโยบายการจ่ายเบี้ยขยันเพื่อนำมาชดเชยการจ่ายค่าจ้างที่ต่ำ
เพื่อต้องการจะหลีกเลี่ยงไม่นำเบี้ยขยันเข้ามารวมในฐานของค่าจ้างประจำเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนบุคลากรที่จะต้องคำนวณจากฐานค่าจ้าง
เช่น โบนัส, ค่าล่วงเวลา, เงินสมทบประกันสังคม, เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ
ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้แล้วล่ะหลีกเลี่ยงยากนะครับ
ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดปิดท้ายสำหรับเรื่องนี้นะครับ
....................................