เมื่อผมต้องสวมหมวกเป็นกรรมการวินัย ผมจะจำแนกความผิดที่จะสอบสวนเป็น 2 กรณีคือความผิดนั้น….
2. ไม่ร้ายแรง
ถ้าเป็นกรณีความผิดไม่ร้ายแรงก็ยังจะนำปัจจัยอื่นมาร่วมในการพิจารณาโทษได้
เช่น ผลงาน, พฤติกรรมที่ดีต่อบริษัทและเพื่อนร่วมงานในอดีต,
การเป็นกำลังสำคัญของบริษัท ฯลฯ
ในที่สุดก็อาจจะมีการออกหนังสือตักเตือนเพื่อให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสในการปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
และก็ไม่ถึงกับต้องเลิกจ้าง
แล้วถ้าเป็นกรณีความผิดร้ายแรงเช่นการทุจริตต่อหน้าที่ล่ะ
ผมมีหลักคิดยังไง?
การทุจริตต่อหน้าที่ถือเป็นฐานความผิดร้ายแรงตามม.119 ของกฎหมายแรงงานที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
บางครั้งหัวหน้าของพนักงานทุจริตก็จะพยายามช่วยลูกน้องที่ทุจริตโดยอ้างเหตุผลในที่ประชุมคณะกรรมการวินัยว่าขอให้นำความดีในอดีตของลูกน้องที่ทุจริตมาลดหย่อนโทษ
แถมให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกว่าลูกน้องก็ทุจริตเงินแค่หลักหมื่นบาทเอง
ควรให้โอกาสปรับปรุงแก้ไขด้วยการออกหนังสือตักเตือนก็พอ!!
หรือให้เหตุผลว่าถ้าเลิกจ้างลูกน้องคนนี้เดี๋ยวจะหาคนมาทำงานแทนได้ยากเดี๋ยวงานจะมีปัญหา
หรือบ้างก็บอกว่าลูกน้องเป็นเสาหลักของครอบครัว
ถ้าเขาถูกเลิกจ้างจะทำให้ลูกต้องออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีเงินส่งลูกเรียน!!??
ทำให้กรรมการวินัยบางคนที่จิตอ่อนจิตตกง่ายก็จะคล้อยตามไปว่าถ้าบริษัทลงโทษเลิกจ้างพนักงานทุจริตคนนี้ก็เท่ากับตัวเองจะเป็นผู้ร้ายทำลายครอบครัวเขาไปโน่น
คำถามที่ผมต้องถามกลับไปในที่ประชุมหรือระหว่างการสอบสวนก็คือ
“ถ้าเราเลิกจ้างพนักงานที่ทุจริต
ใครคือตัวต้นเหตุตัวจริงที่ทำให้ครอบครัวเขาเดือดร้อนกันแน่?”
คนที่เป็นกรรมการวินัยควรจะต้องมีตรรกะในการคิดแบบ
Logical Thinking ให้ดีว่า
การทุจริตไม่ว่าจะหมื่นบาทหรือล้านบาทจะมีฐานความผิดเท่ากันหรือไม่?
หรือการทุจริตหลักหมื่นบาทควรจะมีโทษน้อยกว่าทุจริตหลักล้านบาท?
ถ้าบริษัทเลิกจ้างพนักงานที่ทุจริตไม่ได้
เพราะเหตุผลว่าเดี๋ยวไม่มีคนทำงาน
ก็แปลว่าไม่ว่าพนักงานคนนี้จะทุจริตหรือทำผิดอะไรยังไงก็ไล่ออกไม่ได้เลยงั้นหรือ
แล้วถ้าพนักงานคนอื่นทำผิดอย่างเดียวกันนี้ล่ะเราจะใช้หลักการอะไรในการตัดสินใจ
คำถามที่น่าคิดต่อไปคือบริษัทจะไว้วางใจพนักงานที่ทุจริตต่อไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน
พนักงานคนนี้ยังจะมี
Career Path เติบโตไปกับบริษัทได้อีกหรือไม่
บริษัทจะไว้วางใจให้พนักงานรายนี้ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งรับผิดชอบสูงขึ้นไปได้อีกไหม
จะไว้วางใจให้อนุมัติหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายอีกหรือไม่
จะเป็นการส่งสัญญาณให้พนักงานคนอื่น
ๆ เห็นหรือไม่ว่าใครทุจริตก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงบริษัทก็ยังคงจ้างต่อไป
อย่างมากก็แค่ตักเตือน แล้วก็จะเกิด Me too ตามมาในเคสต่อไป
คงต้องเลือกกันเอาเองแหละครับว่าระหว่าง
“เจ็บแต่จบ” หรือ “ยืดเยื้อแล้วเรื้อรัง”
ผู้บริหารจะตัดสินใจแบบไหนกับความผิดร้ายแรงเช่นกรณีทุจริต
อ่านมาถึงตรงนี้คงทราบการตัดสินใจของผมแล้วนะครับ