วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่

            ผมเป็นคนบอกเองแหละครับ..เพราะคำ ๆ นี้มาจากประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับค่าตอบแทนของคนทำงานโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนมักจะเอามาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ    ทั้ง ๆ ที่ทุกบริษัทก็มีกฎเกณฑ์คล้าย ๆ กันว่า....

          “เรื่องเงินเดือนเป็นความลับ ห้ามเอามาบอกกัน”

            บริษัทอุตส่าห์แจก Pay slip ปกปิดกันเสียอย่างดี แต่พอแจกเสร็จพนักงานก็เอามาแลกกันดูยิ่งตอนช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปียิ่งมีดราม่าเรื่องนี้กันเยอะ บางคนโกรธหัวหน้าหาว่าไม่ยุติธรรมบ้างล่ะ บ้างก็โกรธเพื่อนที่ได้ขึ้นเงินเดือนเยอะกว่าทั้ง ๆ ที่ (คิดเอาเอง) ทำงานเหมือน ๆ กันไม่ได้เก่งกว่าฉันสักหน่อยทำไมแกถึงได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าฉัน บ้างก็ฟิวส์ขาดยื่นใบลาออกเข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ไปโน่น ฯลฯ

            เรื่องเหล่านี้ผมเคยเจอมาแล้วทุกรูปแบบ ซึ่งผมเชื่อว่าท่านก็คงเคยเจอมาแล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ

            ผมยกตัวอย่างของคนที่พอไปรู้ผลการขึ้นเงินเดือนของเพื่อนแล้วเกิดรับไม่ได้ เช่น นายวิเชียรเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทเงินเดือน 22,000 บาท วิเชียรมีเพื่อนทำงานในแผนกเดียวกันเข้ามาทำงานพร้อม ๆ กันเพิ่งจบปริญญาตรีเงินเดือน 18,000 บาท แต่เพื่อนที่จบปริญญาตรีกลับได้เปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนที่สูงกว่าคือได้ขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ตนเองได้ขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ ก็เลยเกิดความคับข้องใจว่าทำไมฉันจบระดับปริญญาโทถึงได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนที่จบปริญญาตรี เลยเอาความคับข้องใจนี้มาถามที่ HR เพราะไม่กล้าไปถามจากหัวหน้างาน

            แน่นอนว่า HR ไม่ใช่หัวหน้างานจึงไม่รู้รายละเอียดหรอกครับว่านายวิเชียรทำงานดีหรือไม่ดียังไงถึงได้ขึ้นเงินเดือนคิดเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าเพื่อนที่จบปริญญาตรี

            แต่ในมุมของ HR คงจะตอบได้อย่างนี้ครับ

1.      หลักการโดยทั่วไปแล้วการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปีเป็นเรื่องของการพิจารณาผลงานของพนักงานว่าสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องหรือไม่ ยิ่งถ้าบริษัทหรือหน่วยงานนั้น ๆ มีระบบตัวชี้วัดผลงานที่ชัดเจน (ที่เรามักเรียกกันว่ามี KPIs หรือ Key performance indicators นั่นแหละครับ) ก็ยิ่งชัดเจนว่าพนักงานก็ต้องรู้ว่าตัวเองจะต้องทำงานอะไรบ้าง และต้องทำยังไงถึงจะได้ผลการประเมินเกรดอะไร เมื่อถึงสิ้นงวดจะได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างไรซึ่งในกรณีนี้แสดงว่าวิเชียรน่าจะทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้กับหัวหน้างานจึงทำให้ได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ได้อย่างที่ตัวเองคาดหวัง

2.      แม้ว่าบางบริษัทจะยังไม่มีการประเมินผลโดยใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจน ยังใช้ระบบและวิธีการประเมินผลแบบ “จิตสัมผัส” หรือ Graphic Rating Scale คือการกำหนดหัวข้อ (หรือปัจจัย) ในการประเมิน 10-20 ข้อแล้วก็ประเมินให้เกรด A, B, C, D, E หรือ 5, 4, 3, 2, 1 แล้วสรุปผลโดยรวมได้เกรดอะไรสักเกรดหนึ่งก็ตาม แต่การประเมินผลการปฏิบัติงานไม่ใช่การประเมินเพื่อขึ้นเงินเดือนให้ตามวุฒิการศึกษา และผมเชื่อว่าคงไม่มีองค์กรไหนที่พิจารณาขึ้นเงินเดือนพนักงานโดยเอาวุฒิการศึกษาเป็นตัวตั้งโดยไม่ดูผลงานเป็นหลักหรอกนะครับ ซึ่งหลักในการปรับขึ้นเงินเดือนควรจะต้องดูจากผลการปฏิบัติงานและความสามารถในงานเป็นหลัก การเรียนจบคุณวุฒิที่สูงขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าจะทำงานได้ดีขึ้นเสมอไปนะครับ แต่ก็แปลกที่ยังมีคนคิดว่าคนที่จบวุฒิที่สูงกว่าจะทำงานหรือมีความสามารถในงานดีกว่าคนที่จบวุฒิต่ำกว่า

3.      จากที่ผมบอกมาข้างต้น ผลการปฏิบัติงานคือเรื่องของตัวเราเองว่าเราสามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือทำงานได้ผลออกมาเป็นที่พึงพอใจของหัวหน้าหรือไม่ ดังนั้นผลงานที่เราทำจึงอยู่ที่ตัวเราเอง แทนที่วิเชียรจะไปคิดว่าคนอื่นเขาทำงานเก่งกว่าเรายังไงถึงได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าเรา ลองมาเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า “แล้วเราจะทำงานให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง” โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจะดีกว่าไหมครับ และที่สำคัญคนที่ทำงานดีมีความสามารถในงาน เก่งงานนั้นไม่ได้เรียนจบคุณวุฒิสูง ๆ ก็มีตั้งมากมาย เพราะการทำงานดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ Competency ของคน ๆ นั้นว่ามีความรู้ในงานมีทักษะในงานและมีคุณลักษณะภายในตัวที่เหมาะสมกับงานที่ทำอยู่หรือไม่ต่างหาก ซึ่ง Competency ไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณวุฒิที่จบมานะครับ

4.      สุดท้ายถ้าคิดดีแล้วและแน่ใจแล้วว่าเราก็ทำงานมีผลงานที่ดีเราก็มีฝีมือมีศักยภาพ แต่หัวหน้าไม่ยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง มองไม่เห็นฝีมือของเรา ไม่เห็นผลงานของเรา ฯลฯ ก็ลองไปสมัครงานที่ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเราจะดีกว่ามานั่งคิดเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นไหมครับ 

           เพราะเส้นทางความก้าวหน้าของเราย่อมขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่ขึ้นกับคนอื่นนะครับ อย่าเอาความก้าวหน้าของเราทั้งชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่นสิครับ หัดร้องเพลง “ชีวิตลิขิตเอง” ดูบ้างนะครับ ลองมองหาสนามแข่งขันที่เหมาะกับศักยภาพและความสามารถของตัวเราอย่าไปลงแข่งในสนามที่เราไม่มีวันชนะ

     ทั้งหมดที่ผมแชร์มานี้คงจะทำให้ท่านที่กำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่อง “เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่” ได้คิดอะไรบางอย่างบ้างแล้วนะครับ

            ตบท้ายด้วยคำพูดของไอน์สไตน์ที่เคยบอกไว้ว่า....

“มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง”


…………………………………