ผมเป็นคนบอกเองแหละครับ..เพราะคำ
ๆ นี้มาจากประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับค่าตอบแทนของคนทำงานโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนมักจะเอามาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ
ทั้ง ๆ
ที่ทุกบริษัทก็มีกฎเกณฑ์คล้าย ๆ กันว่า....
“เรื่องเงินเดือนเป็นความลับ
ห้ามเอามาบอกกัน”
บริษัทอุตส่าห์แจก Pay slip ปกปิดกันเสียอย่างดี
แต่พอแจกเสร็จพนักงานก็เอามาแลกกันดูยิ่งตอนช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปียิ่งมีดราม่าเรื่องนี้กันเยอะ
บางคนโกรธหัวหน้าหาว่าไม่ยุติธรรมบ้างล่ะ
บ้างก็โกรธเพื่อนที่ได้ขึ้นเงินเดือนเยอะกว่าทั้ง ๆ ที่ (คิดเอาเอง) ทำงานเหมือน ๆ
กันไม่ได้เก่งกว่าฉันสักหน่อยทำไมแกถึงได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าฉัน
บ้างก็ฟิวส์ขาดยื่นใบลาออกเข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ไปโน่น ฯลฯ
เรื่องเหล่านี้ผมเคยเจอมาแล้วทุกรูปแบบ
ซึ่งผมเชื่อว่าท่านก็คงเคยเจอมาแล้วเหมือนกันใช่ไหมครับ
ผมยกตัวอย่างของคนที่พอไปรู้ผลการขึ้นเงินเดือนของเพื่อนแล้วเกิดรับไม่ได้
เช่น นายวิเชียรเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทเงินเดือน 22,000 บาท วิเชียรมีเพื่อนทำงานในแผนกเดียวกันเข้ามาทำงานพร้อม
ๆ กันเพิ่งจบปริญญาตรีเงินเดือน 18,000 บาท แต่เพื่อนที่จบปริญญาตรีกลับได้เปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนที่สูงกว่าคือได้ขึ้น
8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ตนเองได้ขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์
ก็เลยเกิดความคับข้องใจว่าทำไมฉันจบระดับปริญญาโทถึงได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนที่จบปริญญาตรี
เลยเอาความคับข้องใจนี้มาถามที่ HR เพราะไม่กล้าไปถามจากหัวหน้างาน
แน่นอนว่า HR ไม่ใช่หัวหน้างานจึงไม่รู้รายละเอียดหรอกครับว่านายวิเชียรทำงานดีหรือไม่ดียังไงถึงได้ขึ้นเงินเดือนคิดเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าเพื่อนที่จบปริญญาตรี
แต่ในมุมของ HR คงจะตอบได้อย่างนี้ครับ
1.
หลักการโดยทั่วไปแล้วการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปีเป็นเรื่องของการพิจารณาผลงานของพนักงานว่าสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องหรือไม่
ยิ่งถ้าบริษัทหรือหน่วยงานนั้น ๆ มีระบบตัวชี้วัดผลงานที่ชัดเจน
(ที่เรามักเรียกกันว่ามี KPIs หรือ Key
performance indicators นั่นแหละครับ)
ก็ยิ่งชัดเจนว่าพนักงานก็ต้องรู้ว่าตัวเองจะต้องทำงานอะไรบ้าง และต้องทำยังไงถึงจะได้ผลการประเมินเกรดอะไร
เมื่อถึงสิ้นงวดจะได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างไรซึ่งในกรณีนี้แสดงว่าวิเชียรน่าจะทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้กับหัวหน้างานจึงทำให้ได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่ได้อย่างที่ตัวเองคาดหวัง
2.
แม้ว่าบางบริษัทจะยังไม่มีการประเมินผลโดยใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจน
ยังใช้ระบบและวิธีการประเมินผลแบบ “จิตสัมผัส” หรือ Graphic Rating Scale
คือการกำหนดหัวข้อ (หรือปัจจัย) ในการประเมิน 10-20 ข้อแล้วก็ประเมินให้เกรด
A, B, C, D, E หรือ 5, 4, 3, 2, 1 แล้วสรุปผลโดยรวมได้เกรดอะไรสักเกรดหนึ่งก็ตาม
แต่การประเมินผลการปฏิบัติงานไม่ใช่การประเมินเพื่อขึ้นเงินเดือนให้ตามวุฒิการศึกษา
และผมเชื่อว่าคงไม่มีองค์กรไหนที่พิจารณาขึ้นเงินเดือนพนักงานโดยเอาวุฒิการศึกษาเป็นตัวตั้งโดยไม่ดูผลงานเป็นหลักหรอกนะครับ
ซึ่งหลักในการปรับขึ้นเงินเดือนควรจะต้องดูจากผลการปฏิบัติงานและความสามารถในงานเป็นหลัก
การเรียนจบคุณวุฒิที่สูงขึ้นก็ไม่ได้แปลว่าจะทำงานได้ดีขึ้นเสมอไปนะครับ แต่ก็แปลกที่ยังมีคนคิดว่าคนที่จบวุฒิที่สูงกว่าจะทำงานหรือมีความสามารถในงานดีกว่าคนที่จบวุฒิต่ำกว่า
3.
จากที่ผมบอกมาข้างต้น
ผลการปฏิบัติงานคือเรื่องของตัวเราเองว่าเราสามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือทำงานได้ผลออกมาเป็นที่พึงพอใจของหัวหน้าหรือไม่
ดังนั้นผลงานที่เราทำจึงอยู่ที่ตัวเราเอง แทนที่วิเชียรจะไปคิดว่าคนอื่นเขาทำงานเก่งกว่าเรายังไงถึงได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าเรา
ลองมาเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า “แล้วเราจะทำงานให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ยังไง”
โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจะดีกว่าไหมครับ
และที่สำคัญคนที่ทำงานดีมีความสามารถในงาน เก่งงานนั้นไม่ได้เรียนจบคุณวุฒิสูง ๆ
ก็มีตั้งมากมาย เพราะการทำงานดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ Competency ของคน ๆ
นั้นว่ามีความรู้ในงานมีทักษะในงานและมีคุณลักษณะภายในตัวที่เหมาะสมกับงานที่ทำอยู่หรือไม่ต่างหาก
ซึ่ง Competency ไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณวุฒิที่จบมานะครับ
4.
สุดท้ายถ้าคิดดีแล้วและแน่ใจแล้วว่าเราก็ทำงานมีผลงานที่ดีเราก็มีฝีมือมีศักยภาพ
แต่หัวหน้าไม่ยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง มองไม่เห็นฝีมือของเรา
ไม่เห็นผลงานของเรา ฯลฯ
ก็ลองไปสมัครงานที่ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเราจะดีกว่ามานั่งคิดเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นไหมครับ
เพราะเส้นทางความก้าวหน้าของเราย่อมขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่ขึ้นกับคนอื่นนะครับ
อย่าเอาความก้าวหน้าของเราทั้งชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่นสิครับ หัดร้องเพลง
“ชีวิตลิขิตเอง” ดูบ้างนะครับ ลองมองหาสนามแข่งขันที่เหมาะกับศักยภาพและความสามารถของตัวเราอย่าไปลงแข่งในสนามที่เราไม่มีวันชนะ
ทั้งหมดที่ผมแชร์มานี้คงจะทำให้ท่านที่กำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่อง
“เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่” ได้คิดอะไรบางอย่างบ้างแล้วนะครับ
ตบท้ายด้วยคำพูดของไอน์สไตน์ที่เคยบอกไว้ว่า....
“มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ
แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง”
…………………………………